แจกันที่เลี้ยงดอกเหมยมีน้ำอยู่ไม่น่าแปลก แต่น้ำในแจกันใบนี้มีน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง แม้แต่ปลายก้านกิ่งเหมยก็แตะไม่ถึง
นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก
เห็นได้ชัดว่ามีคนแตะต้องน้ำในแจกันใบนี้ น้ำน่าจะถูกเทออกไปบางส่วน
ฮวาหยางกำลังครุ่นคิด พร้อมกับขมวดคิ้วมองไปรอบๆ สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทางหน้าต่าง พัดดอกกล้วยไม้ที่แห้งตายแล้วข้างๆ เผยให้เห็นขี้เถ้าสีดำที่อยู่ข้างใต้
“นี่มัน…” ฮวาหยางประหลาดใจ ขณะกำลังจะวางแจกันกระเบื้องไว้บนชั้นวางเหมือนเดิมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากด้านนอก
มีคนถือโคมไฟเดินมา ในห้องที่เดิมทีมืดมิดค่อยๆ สว่างขึ้น
“ใต้เท้าระวังขอรับ” คนที่พูดเป็นชายแปลกหน้า
ฮวาหยางดับโคมไฟในมือ คิดจะกระโดดออกไปทางหน้าต่าง แต่เวลาต่อมานางก็ได้ยินเสียงที่อบอุ่นและกังวานราวกับหยกกระทบหิน
กู้ซิ่งจือส่งเสียง “อืม” เบาๆ แล้วกล่าวขอบคุณคนนำทาง
ในพริบตาที่กำลังเหม่อลอยนั้นเองก็มีเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ดังเบาๆ ขึ้นด้านหลัง ประตูห้องถูกเปิดออก
‘เพล้ง!’
แจกันกระเบื้องแตกละเอียดทำให้เกิดเสียงที่น่าตกใจดังขึ้นในค่ำคืนที่ว่างเปล่าเงียบเหงา
“ใคร!”
แสงเทียนเบื้องหน้าแกว่งไกว กู้ซิ่งจือเห็นเงาร่างสีดำสายหนึ่งยันแขนกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
ฉินซู่รีบวิ่งเข้ามาจากนอกห้อง เมื่อเห็นหน้าต่างที่ขยับไหวดังเอี๊ยดอ๊าด สีหน้าก็เคร่งเครียด “มีคน?”
กู้ซิ่งจือไม่ได้ตอบเขา สายตามองไปที่คราบน้ำบนพื้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใครก็ได้มานี่!” ฉินซู่สั่งด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “บอกพวกเขาว่าตรวจให้ทั่วจวน ดูว่าใครลอบปะปนเข้ามา!”
พูดจบก็ชักกระบี่ออกมาแล้วนำคนของกรมอาญาไล่ตามไป
ภายในห้องเงียบลง กู้ซิ่งจือโน้มตัวไปเก็บแจกันกระเบื้องที่แตกละเอียด แล้วหันไปมองกล้วยไม้ที่แห้งตายต้นนั้น เมื่อแง้มใบแห้งเหี่ยวที่ห้อยลงมา เขาก็เห็นขี้เถ้าที่เกิดจากกระดาษที่เผาไหม้
กู้ซิ่งจือขมวดคิ้ว สายตากวาดมองไปที่คราบน้ำบนพื้นอีกครั้ง
ใช่แล้ว จะต้องมีคนเผาอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ใช้น้ำดับไฟที่ยังคุอยู่ น้ำในแจกันกระเบื้องจึงเหลือเพียงเท่านี้
แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพขี้เถ้า มันน่าจะอยู่ที่นี่มานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่คนที่ลอบเข้ามาเมื่อครู่เป็นคนเผา
ถ้าเช่นนั้นอาจจะเป็นฆาตกรตัวจริงหรือไม่
ด้านนอกฮวาหยางเคลื่อนไหวปราดเปรียวลอดอยู่ใต้ชายคาที่มีเงามืดราวกับแมวที่ว่องไวตัวหนึ่ง
นางสวมชุดสีดำทะมัดทะแมง ทั้งยังมีผ้าปิดหน้าและโพกศีรษะ เห็นเพียงดวงตาใสสะอาดเท่านั้น กู้ซิ่งจือและฉินซู่ไม่น่าจะจำนางได้
แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับฉินซู่ในการนำคนไล่ตามนางไปตลอดทาง
ถึงอย่างไรเฉินเหิงก็เป็นเสนาบดี จวนก็ยิ่งใหญ่ ประกอบกับเมื่อครู่ตอนที่ฮวาหยางหลบหนีก็ตื่นตระหนกจนไม่ได้เลือกเส้นทาง เวลานี้จึงมีความรู้สึกเหมือนจะหลงทาง
นางถูกบังคับให้วิ่งวน วนไปรอบหนึ่งก็พบว่าตนเองถูกบังคับให้ไปยังที่ว่างในลานด้านหลังของจวน ที่นั่นกว้างขวาง นอกจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ติดกำแพงก็ไม่มีอะไรปิดบังเลย
องครักษ์ถือคบไฟโอบล้อมเข้ามาจากทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว
ฮวาหยางกัดฟัน อยากจะปีนต้นไม้กระโดดออกไป แต่ทันทีที่ยกมือขึ้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลมกระโชกแรงที่ข้างหู นางรีบหดมือกลับ
‘ปึก!’ ลูกธนูดอกหนึ่งปักลงบนจุดที่นางลดมือลงเมื่อครู่อย่างแม่นยำ
คนด้านหลังตามมาทันแล้ว
องครักษ์เห็นว่านางเสียสมาธิจึงพุ่งเข้าหาพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่เข้าใส่ ภายใต้แสงไฟประกายเย็นเยียบปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง แสงกระบี่สีขาวกวัดแกว่งไปมาจนนางแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
ดูท่าคงจะหนีไม่รอดแล้ว
ฮวาหยางหรี่ตา ใจสั่น ตัดสินใจชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งใส่องครักษ์ที่กำลังเข้ามาหา