ระหว่างที่ความเงียบปกคลุมเรือทั้งสองนี้เอง บนเรือลำหรูก็แสดงพลานุภาพกล้าแกร่งออกมาก่อน ชายฉกรรจ์วัยกลางคนที่ดูมีอายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่งย่างสามขุมออกมายืนบนดาดฟ้าเรืออย่างเชื่องช้า และประสานสายตากับไป่หลี่จิงหง
พลานุภาพกล้าแกร่งปะทะกับพลังกดข่มอันเยียบเย็น กลิ่นอายสองขุมยันกันอยู่บนแม่น้ำอิ้งชวน ก่อให้เกิดคลื่นซัดกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง
น้ำบนแม่น้ำอิ้งชวนสาดเข้าหาสองฝั่งตลิ่งในทันที น้ำซัดสาดรุนแรงราวกับแส้ฟาด ทำเอาบรรดาคนที่มุงดูอยู่ทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่น พากันปีนขึ้นไปบนหอสูง ไม่กล้าหยุดอยู่ริมตลิ่งอีก
ในขณะที่เรือที่คนทั้งสองยืนประจันหน้ากันอยู่กลับเพียงกระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆ ทีเดียว คล้ายว่าไม่ได้รับผลกระทบ หากแต่พลังที่ยันกันนั้นกลับโหมกระเพื่อมหนักขึ้น ไม่ถึงครู่เดียวก็เกิดเสียงดังโครม น้ำในแม่น้ำสาดกระจายไปทั่วทุกด้าน
บรรดาคนที่หลบไปอยู่บนหอสูงแล้วพากันเป่าปากออกมาทันควัน
เคราะห์ดีที่พวกเขาหลบมาก่อน มิเช่นนั้นหากถูกน้ำนี้ซัดใส่อีกรอบ…จะเจ็บมากเพียงไร!
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้นั้นหัวเราะร่าออกมาทันที
“ฮ่าๆๆ ไม่เสียแรงที่เป็นทายาทสายตรงของสกุลไป่หลี่เรา ความองอาจ พลังแก่นแท้ ความกล้าหาญ บุคลิกนิสัย แต่ละอย่างล้วนไม่แย่”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนว่าพอใจในตัวไป่หลี่จิงหงมาก ถัดจากนั้นเขาก็ยังหันหน้ากลับไปกล่าวกับทางประทุนเรือ…
“เยียนเอ๋อร์ บุตรชายของเจ้าไม่เลวเลย”
“นั่นเป็นเพราะท่านอาจ้งมีเมตตา” ท่านป้าเอ่ยตอบด้วยเสียงอ่อนหวาน
โม่อีเหรินได้ยินแล้วก็เบิกตาโต อดจะค่อนแคะในใจไม่ได้ว่าท่านป้าก็มีเวลาที่พูดจาอ่อนหวานละมุนละไม ฟังดูเป็นกุลสตรีถึงเพียงนี้กับเขาเหมือนกัน ช่าง…ขัดหู ระคายหูเกินไปแล้ว
“ทว่าต่อให้เป็นเด็กมีพรสวรรค์เพียงไร ก็ไม่อาจตามใจจนเหลิงได้ นิสัยของหงเอ๋อร์ยังต้องได้รับการขัดเกลาอีกมาก” มารดาของไป่หลี่จิงหงเปลี่ยนประเด็น เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจอย่างมากต่อท่าทีของไป่หลี่จิงหง
“คนหนุ่มมีความโอหังสักหน่อยก็ปกติยิ่ง” ชายฉกรรจ์ไม่ใส่ใจต่อจุดนี้ เกิดเป็นคนสกุลไป่หลี่ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะโอหัง
“มีความโอหังนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากไม่ยอมอยู่ใต้คำสั่งของตระกูล กลับมิใช่เรื่องดีแล้วเจ้าค่ะ”
ชายฉกรรจ์ตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมองไป่หลี่จิงหงพลางกล่าวว่า “เจ้าเป็นบุตรชายของจิ้งหย่วน นับได้ว่าเป็นรุ่นหลานของข้า เกิดเป็นคนสกุลไป่หลี่ ที่นี่มิใช่ที่ที่เจ้าสมควรอยู่ ด้วยพลังแก่นแท้ของเจ้า สมควรจะกลับไปถิ่นตระกูล อนาคตเจ้าถึงจะเดินไปได้ไกลขึ้น คราวนี้ข้ากับมารดาเจ้าเจาะจงมาหาก็เพื่อจะพาเจ้ากลับไปถิ่นตระกูล ความหมายของการที่สามารถกลับถิ่นตระกูลได้นั้นหมายถึงอะไร เชื่อว่าไม่ต้องให้ข้าบอก เจ้าก็น่าจะรู้”
แม้ชายฉกรรจ์จะไม่ได้พูดละเอียดมาก แต่กลับชี้ประเด็นสำคัญออกมา
ถิ่นตระกูล เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญ
ไป่หลี่จิงหงย่อมจะรู้ว่าดินแดนเทพยุทธ์หาใช่สถานที่ที่เหมาะที่สุดในการฝึกบำเพ็ญ ถ้าหากอยากเลื่อนขั้นขึ้นไปอีก เขาก็จำต้องไปจากดินแดนแห่งนี้ ทว่ายังมิใช่ตอนนี้ และก็มิใช่การไปกับพวกเขา
“พูดจบแล้ว?”
คำพูดของไป่หลี่จิงหงสั้นกระชับมากเสียจนชายฉกรรจ์ไม่เข้าใจ
“พูดจบแล้วก็พานางไปเสีย” ‘นาง’ ในที่นี้แน่นอนว่าหมายถึงซย่าอวี่ที่นอนอยู่บนพื้น
ชายฉกรรจ์เพิ่งเคยเจอเด็กที่ไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้เป็นครั้งแรก จึงเกิดอาการสะอึกไปในทันที
“เจ้าไม่อยากยกระดับพลังแก่นแท้ให้สูงขึ้นหรือไร” ชายฉกรรจ์เลื่อนสายตาไปมองสาวน้อยที่ถูกเขาปกป้องไว้ด้านหลังมาตลอด “หรือว่าเป็นเพราะนางหนูผู้นี้ เจ้าถึงได้ไม่ยอมจากไป”
ไป่หลี่จิงหงไม่ตอบ เรื่องของเขาไม่จำเป็นต้องพูดกับผู้อื่นให้มากความ
หากแต่ความเงียบของเขา ชายฉกรรจ์กลับคิดว่าเป็นการยอมรับ เขาจึงหันไปหาโม่อีเหริน
“สาวน้อย มา ก้าวออกมาให้ข้าดูที”
“ไม่ให้ดู” โม่อีเหรินยิ่งหลบมิดกว่าเดิม
ชายฉกรรจ์ถูกทำให้สะอึกไปอีกครั้ง
ด้านคนที่ชมความครึกครื้นอยู่ก็ล้วนสีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนสาวน้อยกำลังกระเง้ากระงอดอยู่ยิ่งนัก!