ส่วนคำว่า ‘ไม่ให้ดู’ นี้ก็กระทบใจคนทั้งหลายอย่างแรง ทำให้นึกตำหนิชายฉกรรจ์อยู่ในใจว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ทำตัวไม่น่าเคารพ
ประหนึ่งว่าสังเกตเห็นสายตาคลางแคลงและวิพากษ์วิจารณ์ของคนทั้งหลาย ชายฉกรรจ์จึงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รู้สึกราวกับลมจุกอยู่ในอก
เป็นครู่ใหญ่เขาถึงค่อยปรับน้ำเสียงแล้วเอ่ยปากอีกครั้ง
“บนดินแดนเทพยุทธ์นี้ลือกันว่าเจ้ามีพลังแก่นแท้ขนาดสามารถเอาชนะยอดฝีมือขั้นฟ้าระดับเก้าได้ ก็ไม่น่าขี้ขลาดถึงเพียงนี้กระมัง”
“ไม่มีใครกำหนดเสียหน่อยว่าข้าจำเป็นต้องใจกล้า” โม่อีเหรินยืนอยู่หลังไป่หลี่จิงหงพลางตอบกลับเสียงแผ่ว
ลำพังฟังจากเสียงจะต้องเชื่อว่าเป็นสาวน้อยที่ขี้ขลาดตาขาวผู้หนึ่งจริงๆ ทว่าอันที่จริงสีหน้าของนางกลับดูสบายๆ อย่างมาก ซ้ำยังแบ่งสมาธิไปหยอกล้อเล่นกับเซิ่นได้อีกด้วย
แม้จะหลบอยู่หลังไป่หลี่จิงหง ตาเนื้อมองไม่เห็นสภาพการณ์ แต่ญาณวิเศษของนางมิได้มีไว้ประดับเฉยๆ หากชายฉกรรจ์ผู้นี้คิดจะจู่โจมไป่หลี่จิงหงหรือนาง นางก็สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ
“หากเจ้ามีความกล้าแค่เพียงเท่านี้ ก็ไม่คู่ควรจะอยู่ข้างกายหงเอ๋อร์” ชายฉกรรจ์เอ่ยวาจาจริงจังราวกับชอบด้วยเหตุผล มิหนำซ้ำยังมีแววกระตุ้นยั่วยุอยู่หน่อยๆ
“จิงหง เขาบอกว่าข้าไม่คู่ควรจะอยู่ข้างกายท่าน” ไหนเลยจะรู้ว่าโม่อีเหรินจะไม่สนใจเขา และถึงกับฟ้องไป่หลี่จิงหงตรงๆ ต่อหน้าอีกฝ่ายทันที
“เรื่องของข้า เขาไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์” คำตอบของไป่หลี่จิงหงตรงไปตรงมาโดยแท้ ซ้ำยังช่วยโม่อีเหรินทวงดอกเบี้ยคืนมาเล็กน้อยด้วย
ชายฉกรรจ์บอกว่านางไม่คู่ควร ไป่หลี่จิงหงจึงบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์
คราวนี้ชายฉกรรจ์ถูกทำให้ลมจุกอกยิ่งกว่าเดิม
“นับไปแล้วข้าก็ถือเป็นญาติผู้ใหญ่รุ่นปู่รุ่นตาของเจ้า จะไม่มีสิทธิ์ได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์หวิดจะใช้เสียงคำรามแล้ว ชาตินี้มีชีวิตมาจนถึงบัดนี้ เขายังไม่เคยถูกทำให้โมโหหลายรอบเท่ากับวันนี้มาก่อนเลย มิหนำซ้ำยังถูกผู้น้อยสองคนใช้วาจาทำให้พูดไม่ออกอีกต่างหาก
“ข้าไม่รู้จักท่าน” ไป่หลี่จิงหงกล่าวอย่างผ่อนคลายสบายใจ
“…” ชายฉกรรจ์หมดคำพูดไปทันที
ในประทุนเรือด้านหลังไป่หลี่จิงหงดูเหมือนจะมีเสียงหัวเราะขลุกขลักสองสามเสียงดังออกมา
“ท่านอาจ้ง มิต้องพูดให้มากความเพียงนั้น พาตัวหงเอ๋อร์กลับไปก็พอแล้วเจ้าค่ะ” มารดาของไป่หลี่จิงหงที่อยู่ในประทุนเรือลำหรูมาโดยตลอดเห็นได้ชัดว่าหมดความอดทนแล้ว
“อืม” ชายฉกรรจ์เห็นด้วย “หงเอ๋อร์ มาให้ข้าดูทีว่าเจ้าอยู่ที่ดินแดนเทพยุทธ์มายี่สิบปี พลังแก่นแท้มีมากน้อยเพียงไรกันแน่”
พอกล่าวจบ ชายฉกรรจ์ก็ทะยานตัวขึ้นฟ้า ฟาดพลังฝ่ามือหลายสายมายังไป่หลี่จิงหง
ร่างไป่หลี่จิงหงเคลื่อนไหวในเสี้ยวพริบตา รับพลังฝ่ามือเหล่านั้นโดยไม่ตกหล่นแม้แต่สายเดียว
ยามนี้ร่างของคนทั้งสองล้วนลอยขึ้นไปกลางอากาศ ไป่หลี่จิงหงพลิกมือซัดพลังปราณอันรุนแรงออกไป ดูคล้ายเป็นแสงพุ่งวาบ
“หืม?” ชายฉกรรจ์ทั้งงุนงงทั้งประหลาดใจ เขาเบี่ยงตัวหลบพลังปราณสายนั้นทันที หากแต่มันพุ่งมาเร็วเกินไป ชายฉกรรจ์รอดจากการบาดเจ็บถึงชีวิตได้ แต่กลับหลบคลื่นกระทบจากพลังปราณได้ไม่ทั้งหมด พลังปราณกวาดผ่านแขนเสื้อข้างซ้ายของเขาไป ทิ้งร่องรอยขาดวิ่นราวกับถูกไฟเผาเอาไว้
แม้แขนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความร้อนจากพลังปราณสายนั้น
“แปรพลังเป็นรูปร่าง?!” มิหนำซ้ำยังไม่ได้เป็นแค่รูปร่างธรรมดาอีกด้วย ชายฉกรรจ์เบิกตาโพลง
สิ่งที่เขาสวมอยู่บนตัวคือชุดเวทที่มีพลังป้องกันแก่กล้าอย่างที่สุด พลังปราณสายนั้นถึงกับสามารถเผามันจนเสียหายได้อย่างง่ายดาย นี่มิใช่พลังปราณธรรมดาแล้ว แต่เป็นการโจมตีที่มีพลังพิเศษธาตุไฟแฝงอยู่
นี่คือ…
เวลาเดียวกันขณะที่ไป่หลี่จิงหงประมือกับชายฉกรรจ์ ผละออกไปจากตำแหน่งที่ยืนแต่เดิม และโม่อีเหรินกำลังจับตามองการต่อสู้อยู่ มารดาของไป่หลี่จิงหงที่อยู่ในเรือลำหรูมาโดยตลอดก็พลันอาศัยจังหวะนี้ปรากฏตัว
นางว่องไวยิ่ง ยามนี้เองประกายแหลมคมสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งวาบไปยังโม่อีเหริน
ไอสังหาร!
ทันทีที่โม่อีเหรินสัมผัสได้ เท้าข้างหนึ่งของนางก็ก้าวออกไป เงาร่างเปลี่ยนจากจับต้องได้กลายเป็นจับต้องไม่ได้ในพริบตา เพียงชั่วขณะที่ยังไม่ทันกะพริบตา นางก็ย้ายตำแหน่งไปแล้ว