ไป่หลี่เยียนหรือก็คือมารดาของไป่หลี่จิงหงสะบัดดาบออกมา กลับฟันถูกเพียงอากาศ แม้แต่คนก็หายตัวไปแล้ว นางตกใจอย่างมาก รีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็วและมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง
โม่อีเหรินกลับยืนอยู่บนรั้วกั้นบริเวณกราบเรือด้านขวาด้วยท่าทางใจเย็นไม่สะทกสะท้าน บนบ่ามีสัตว์ตัวน้อยสีเงินลักษณะเหมือนสุนัขนั่งอยู่ตัวหนึ่ง ในอ้อมแขนอุ้มสัตว์ตัวน้อยสีขาวลักษณะเหมือนแมวไว้อีกตัว ภาพนี้ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนกำลังชมทิวทัศน์ ไม่เหมือนถูกลอบโจมตี และก็มองไม่ออกโดยสิ้นเชิงเช่นกันว่ามีอันตรายใดๆ
ไป่หลี่เยียนหรี่ตามองโม่อีเหริน คนทั้งหลายเองก็มองเห็นลักษณะท่าทางของไป่หลี่เยียนได้ชัดเจน
ที่โม่อีเหรินเรียกนางว่า ‘ท่านป้า’ นั้น หากดูจากแค่รูปลักษณ์ภายนอก อันที่จริงคำเรียกขานนี้ก็ออกจะดูแก่เกินไปหน่อยจริงๆ
ท่านป้าผู้นี้ดูมีอายุราวสามสิบ รูปร่างสูงโปร่งแช่มช้อย ชุดชาววังสีชมพูดอกท้อขับเน้นให้รูปโฉมอันงดงามของนางดูพิลาสล้ำยิ่งขึ้น
ครั้นดาบฟันเจออากาศ บนใบหน้านางก็มิได้มีโทสะและความผิดหวังใดๆ เพียงแต่พอสายตาสอดส่ายหาโม่อีเหรินพบ นางก็หมุนตัวกลับอย่างสง่างาม พลิกมือจับดาบโค้งพาดเอียง สะดวกต่อการจู่โจม และสะดวกต่อการป้องกันเช่นกัน
ทว่าทางโม่อีเหรินกลับดูท่าทางไม่ได้สนใจเลยว่าไป่หลี่เยียนจะจู่โจมหรือไม่ ความสนใจกว่าค่อนล้วนอยู่ที่ไป่หลี่จิงหง
ไป่หลี่จิงหงใช่ว่ามิได้สังเกตเห็นมารดาลอบโจมตีโม่อีเหริน ทว่าหลังจากกระบวนท่าแรก ชายฉกรรจ์ก็พลันเลือกใช้การโจมตีแบบฉับไว ออกกระบวนท่ามาไม่หยุด
ไป่หลี่จิงหงถูกขวางไว้กลางอากาศ เผชิญหน้าชายฉกรรจ์ที่มีระดับขั้นยุทธ์สูงกว่าเขา ทว่าเขายังคงโต้ตอบอย่างสุขุมเยือกเย็น ชายฉกรรจ์มีพลังฝ่ามือมหาศาล แต่พลังแก่นแท้ของไป่หลี่จิงหงก็มั่งคงแข็งแรงดุจเดียวกัน
ชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากบิดาที่ไป่หลี่จิงหงเคยเจอนับตั้งแต่ได้เริ่มฝึกบำเพ็ญ หากแต่นี่มิได้ทำให้ไป่หลี่จิงหงหวั่นกลัว มีแต่ทำให้กลิ่นอายของเขายิ่งเยียบเย็น ทำให้ความอยากต่อสู้ของเขายิ่งเพิ่มสูง
ประมือกันมือเปล่าไม่อาจตัดสินสูงต่ำได้ ชายฉกรรจ์จึงชูมือขึ้น ดาบใหญ่ที่พกติดตัวกลายมาอยู่ในมือ กระแสลมดาบมโหฬาร ก่อให้เกิดเสียงลมคำรามบ้าคลั่งเป็นระลอก
ไป่หลี่จิงหงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย นึกคิดในใจว่าดาบหุนสีม่วงก็หมุนวน ไม่จับดาบ แต่ใช้ความคิดขับเคลื่อน ดาบหุนสีม่วงพิทักษ์อยู่รอบตัวเขา พร้อมกับทำการยับยั้งกระแสลมจากดาบใหญ่
คมดาบปะทะกันจนเกิดประกายเล็กๆ ออกมากลางอากาศ กระแสลมที่เกิดจากดาบใหญ่ถูกดาบหุนสีม่วงยืมแรงมาสลายพลังของตัวมันเองออกไปรอบๆ ได้พอดิบพอดี
พริบตาเดียวก็ผลัดกันรุกรับได้สามสิบกว่ากระบวนท่า ดูคล้ายเสมอกัน แต่อันที่จริงไป่หลี่จิงหงตกเป็นฝ่ายตั้งรับและคลายกระบวนท่าของอีกฝ่ายโดยตลอด ยังไม่ได้เป็นฝ่ายโจมตี
โม่อีเหรินมองออกว่าไป่หลี่จิงหงมิใช่จะไม่โจมตี แต่ยังไม่มีโอกาสให้โต้กลับ
รูปร่างที่สูงใหญ่บึกบึนของชายฉกรรจ์ผู้นี้มิได้ดูดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้งานได้จริงด้วย หากจะกล่าวถึงระดับขั้นยุทธ์ ชายฉกรรจ์ผู้นี้น่ากลัวว่าจะมีระดับขั้นสูงกว่าไป่หลี่จิงหงอย่างแน่นอน
ถ้าหากคนในดินแดนนั้นล้วนมีพลังแก่นแท้เยี่ยงนี้…สู้กันขึ้นมาไป่หลี่จิงหงก็ลำบากยิ่ง
โม่อีเหรินเพิ่งจะกำลังคิด คมดาบสายหนึ่งก็มาถึงข้างกายอีกครั้ง
โม่อีเหรินหมุนตัว เงาร่างหายวับในทันใด ก่อนจะไปปรากฏอยู่อีกปลายด้านของเสากระโดงเรือ การโจมตีของไป่หลี่เยียนมาอีกแล้ว โม่อีเหรินหมุนตัวอีกครั้ง คนก็หายไปอีกครั้ง
ดาบของไป่หลี่เยียนฟันมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างโม่อีเหรินก็วาบหลบเร็วขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่ หมุนไปแล้วก็หมุนมา ถึงขนาดยังปรากฏสภาพเคลื่อนย้ายในพริบตาด้วย
โม่อีเหรินที่อยู่ระหว่างเคลื่อนที่งันไปเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาปล่อยญาณวิเศษออกไปทันที