“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะจัดเตรียมเรือนให้ฉู่อีเหริน แล้วค่อยย้ายแม่นมสองคนที่มีประสบการณ์ให้มาดูแลนางด้วยกัน เช่นนี้เจ้าคงวางใจได้แล้วกระมัง” ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยขึ้นหลังจากครุ่นคิด
อั๋งเอ๋อร์โตไวรู้จักคิด มีความคิดเป็นของตนเองสูง ฉู่อวิ๋นเฟยรู้ว่าไม่อาจบังคับเขาได้จึงเปลี่ยนวิถีทาง โดยสรุปก็คือคาดหวังที่จะให้เขาฝึกยุทธ์อย่างสุดจิตสุดใจ ไม่ไปสนใจเรื่องจิปาถะอื่นใด
“ไม่ต้อง ข้ากับน้องฉีจะดูแลฉู่อีเหรินเอง ท่านพ่อ ข้าไม่เปลี่ยนใจแน่นอน” ฉู่เซวียนอั๋งเงยหน้าตอบ แววตาเย็นชาทว่าหนักแน่น
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเสียเวลาในการฝึกยุทธ์ด้วยเรื่องพรรค์นี้” ฉู่อวิ๋นเฟยใบหน้าง้ำงอ เขามองว่าลูกสาวคนนี้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างยอดฝีมือสกุลฉู่
“ท่านพ่อ ฉู่อีเหรินเป็นน้องสาวข้า”
ท่านพ่อไม่เป็นห่วงเป็นใย ท่านแม่ไม่รัก เกิดมาก็มีโรครุมเร้า สภาพอย่างฉู่อีเหรินน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าน้องฉีเสียอีก ตอนที่นางเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ยามเขาอุ้มนาง เห็นนางค่อยๆ สงบลงในอ้อมกอดเขา แม้ยามเจ็บป่วยก็ไม่ร้องไห้งอแง เขาก็ตั้งใจมั่นแล้วว่าจะต้องดูแลน้องสาวคนนี้เอง
แม้นางจะเป็นลูกสาวของท่านพ่อ แต่หากไม่เลี้ยงไว้ข้างกาย สาวใช้เหล่านั้นที่ถูกส่งตัวไปก็ไม่แน่ว่าจะดูแลนางอย่างจริงจังและระมัดระวังเพียงพอ หมอโอสถเคยกล่าวว่าน้องสาวเกิดมาร่างกายอ่อนแอ จะต้องดูแลอย่างระมัดระวังมาก มิเช่นนั้น…
หมอโอสถยังพูดไม่ทันจบ ฉู่เซวียนอั๋งก็รู้แจ้งแก่ใจ
“เฉาหรงก็เป็นน้องสาวเจ้า” ฉู่อวิ๋นเฟยพูดถึงลูกสาวอีกคน หลิงหลงให้กำเนิดลูกสาวคนโต พรสวรรค์สูงส่ง อายุน้อยกว่าอั๋งเอ๋อร์ปีเดียว ฝึกวิชาพลังภายในของสกุลฉู่ได้ถึงขั้นดิน ระดับสอง
ฉู่เซวียนอั๋งสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น
ในทางสายเลือด พวกเขาเป็นพี่น้องกันจริง แต่ในความเป็นจริง นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดนั่นแล้ว กลับมีสายสัมพันธ์ตื้นเขินยิ่งนัก ฉู่เซวียนอั๋งไม่ค่อยได้ใกล้ชิดนาง แต่ก็ไม่ได้อาฆาตแค้นเพราะเป็นลูกคนละแม่ ภายใต้ข้อเสนอหลักของสกุลฉู่ที่จะต้องปรองดองไม่ขัดแย้งกันภายในหมู่เครือญาติ ครั้นพบหน้าเขาก็ทักทาย ไปมาหาสู่ก็รู้จักลำดับอาวุโส ฉู่เซวียนอั๋งเป็นพี่ชายคนโต ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายยอมน้องเสมอ
เรื่องเหล่านี้ฉู่อวิ๋นเฟยรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นจึงยิ่งโปรดปรานลูกชายคนโต ในเมื่ออนาคตเขาจะต้องเป็นประมุขตระกูล จะต้องปกป้องคนในครอบครัว ไม่อาจละเลยผู้หนึ่งผู้ใดด้วยความชอบไม่ชอบส่วนตัวได้ เรื่องนี้ฉู่เซวียนอั๋งทำได้ดีมาตลอด เฉาหรงก็เคารพพี่ชายใหญ่ ทำให้ฉู่อวิ๋นเฟยพออกพอใจยิ่งนัก
“ฉู่อีเหรินเป็นน้องสาวข้า” ประโยคนี้พอที่จะแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของฉู่เซวียนอั๋ง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่ละทิ้งการดูแลน้องสาว
“ก็ได้ๆ” เขาไม่อยากโกรธเคืองลูกชายด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ กอปรกับในเมื่อฉู่อีเหรินเป็นลูกสาวของโม่อี้โหรว เขาจะต้องไว้หน้าสำนักเถาฮวากู่บ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นฉู่อวิ๋นเฟยจึงยอมให้ก้าวหนึ่ง แต่มีเรื่องหนึ่งจะต้องกล่าวให้ชัดเจนเสียก่อน “เจ้าจะดูแลฉู่อีเหรินก็ได้ แต่จะต้องไม่กระทบถึงการฝึกยุทธ์เด็ดขาด เจ้าคือลูกชายคนโตของข้า แบกรับความรับผิดชอบของสกุลฉู่ไว้ ต้องอาศัยความสามารถสูงส่งจึงจะมีคนให้ความเคารพนับหน้าถือตา สกุลฉู่จะได้ตั้งตระหง่านดุจดั่งขุนเขา”
“ลูกเข้าใจ” ฉู่เซวียนอั๋งพยักหน้า
ดังนั้นฉู่อีเหรินจึงพ้นเคราะห์กรรมที่จะต้องถูกทิ้งขว้างไว้ในเรือนอื่น แม้ต้องกินยาทุกวันและในเดือนหนึ่งนางต้องนอนพักอยู่บนเตียงร่วมยี่สิบวัน แต่ในที่สุดชีวิตน้อยๆ ชีวิตหนึ่งก็รอดมาได้