ฉู่อวิ๋นเฟยไม่ใช่ไม่ดีใจที่ตนเองมีลูกเพิ่มมาอีกคน แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่ลูกคนนี้เกิดมาก็ทำให้เขาสูญเสียลูกคนนั้นไป เขาจึงดีใจไม่ออก ยิ่งกว่านั้นพอลูกสาวคนนี้เกิดมาก็มีโรครุมเร้า หมอโอสถยังตรวจหาสาเหตุโรคไม่พบ ทำได้เพียงอ้างเหตุผลว่าเกิดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอ จึงป่วยกระเสาะกระแสะ
นางป่วยกระเสาะกระแสะก็หมายความว่าไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีตำแหน่งในสกุลฉู่ จึงไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ
หากนางมีชีวิตรอด คุณค่าสูงสุดของนางก็คือแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลที่ดี ในเมื่อจะช้าจะเร็วก็ต้องเป็นคนของตระกูลอื่น เขาก็ไม่มีความคิดที่จะไปดูดำดูดีลูกสาวคนนี้
พออีจิ้งรู้ข่าวก็ตระหนักว่านายท่านไม่สนใจไยดีเลยว่าคุณหนูน้อยจะเป็นหรือตาย ทำได้เพียงกลับเรือนหลิวอี้ด้วยความขุ่นข้องหมองใจ แล้วนายหญิงก็มีท่าทีเช่นนั้นอีก นางจึงได้แต่ถอนใจ
ทางด้านฉู่เซวียนอั๋ง หลังจากทราบท่าทีของบิดามารดากลับไม่แสดงสีหน้าตกใจแม้แต่น้อย ให้อีหรูอุ้มน้องสาวไปอยู่ที่เรือนของเขา ทุกวันหลังจากฝึกยุทธ์ก็จะมาดูแลน้องสาวพร้อมกับน้องชายและเหล่าหมอโอสถ ซึ่งไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตรอดไปอีกนานเท่าใด…
จากการดูแลเอาใจใส่ของฉู่เซวียนอั๋ง ฉู่เซวียนฉี รวมทั้งบรรดาหมอโอสถ ในที่สุดลูกสาวคนเล็กของสกุลฉู่ก็มีอายุพ้นหนึ่งขวบ ฉู่อวิ๋นเฟยตั้งชื่อให้นางว่า…ฉู่อีเหริน
แม้ฉู่อีเหรินจะรอดมาได้ ทว่าความเจ็บป่วยไม่จางหายไปเลย ดังนั้นเด็กเล็กที่ควรมีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองเมื่อครบเดือน ของขวัญครบร้อยวันหรือพิธีผูกดวงแรกขวบ จึงถูกตัดออกทั้งหมด ไม่มีการจัดงานเลี้ยงอะไรเป็นพิเศษ แล้วยิ่งไม่มีของขวัญ เสมือนคนไร้ตัวตนในสกุลฉู่
โชคดีที่ฉู่เซวียนอั๋งคอยยืนหยัดเพื่อนาง นางจึงพักอยู่ในเรือนของคุณชายใหญ่ต่อไปได้ อีกทั้งพ่อบ้านก็ทำตามข้อเรียกร้องของเขา จัดเตรียมสาวใช้สองคนที่คล่องแคล่วปราดเปรียวรับผิดชอบดูแลเรื่องอาหารสามมื้อและความเป็นอยู่ของคุณหนูน้อย
ฉู่อวิ๋นเฟยเรียกลูกชายคนโตมาพบเป็นการเฉพาะด้วยเรื่องนี้ เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
“อั๋งเอ๋อร์ เจ้าจะให้ฉู่อีเหรินอยู่ที่เรือนของเจ้าต่อไปจริงๆ หรือ”
“ขอรับ”
“เจ้าเป็นลูกชายคนโตของข้า แล้วก็เป็นประมุขตระกูลฉู่ในอนาคต ไยจึงต้องเสียเวลามาดูแลทารกหญิงที่อ่อนแอ มิสู้เอาเวลาเหล่านั้นทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเต็มที่” เขาคาดหวังเหลือเกินว่าจะมีลูกชายที่ได้เลื่อนขั้นเป็นยอดฝีมือเร็วที่สุดในแผ่นดิน
“ในเมื่อข้าคือประมุขตระกูลฉู่ในอนาคตและเป็นคุณชายใหญ่ แค่น้องสาวของตัวเองยังดูแลไม่ได้หรือ” ฉู่เซวียนอั๋งตอบกลับอย่างสงบนิ่ง
ฉู่อวิ๋นเฟยถูกยอกย้อนกลับไม่โกรธ “นั่นจะทำให้เจ้าเสียเวลา”
“ข้าไม่เคยเถลไถลในการฝึกยุทธ์”
ฉู่อวิ๋นเฟยพูดไม่ออก
ลูกชายคนโตมีความสามารถยอดเยี่ยม เขาเพิ่งเก้าขวบ เป็นยอดฝีมือตัวน้อยที่ฝึกเพลงกระบี่ของสกุลฉู่ที่สืบทอดกันมาได้ถึงขั้นดิน ระดับสี่ แล้วยังฝึก ‘เคล็ดวิชากระบี่เทียนฉู่’ ของสกุลฉู่ ได้ถึงกระบวนท่าที่สี่ ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าฉู่อวิ๋นเฟยตอนเก้าขวบที่ฝึกได้ถึงแค่ขั้นดิน ระดับสาม กระบวนท่าที่สามเสียอีก แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นเฟยต้องคาดหวังในตัวลูกชายคนโตอย่างมาก ไม่อยากให้เรื่องใดมาหน่วงเหนี่ยวการฝึกยุทธ์ของเขา