บทที่สอง
ฉู่เซวียนฉียืนอยู่ตรงทางเข้าเรือนพี่ใหญ่ จ้องมองพี่รองและลูกผู้พี่ที่บอกว่าจะมาส่งเขา มือสองข้างกำหมัดแน่นอยู่ข้างลำตัว สีหน้าเคร่งเครียดยิ่ง
เด็กชายที่พูดถ้านับตามลำดับอาวุโสถือว่าเป็นลูกผู้พี่ ปีนี้อายุสิบขวบ โตกว่าเขาสามปี กำลังจะผ่านไปสู่ขั้นดิน ระดับสาม ในบรรดาลูกหลานสกุลฉู่นับว่ามีฝีมือไม่เลว อีกคนคือพี่รอง นามว่า ‘ฉู่เซวียนหลิง’ สายตาที่มองฉู่เซวียนฉีแฝงไปด้วยความเหยียดหยามและรังเกียจ
ฉู่เซวียนฉีจ้องพวกเขา ไม่พูดไม่จา
“แม้ลูกผู้พี่จะพูดแรงไปหน่อย แต่ก็เป็นความจริง น้องเล็ก เจ้าเลิกฝึกยุทธ์ไปเสียดีกว่า ยอมรับเถิดว่าตัวเองไร้ความสามารถ ต่อไปก็ไม่ต้องไปห้องฝึกยุทธ์ จะได้ไม่ยั่วให้ท่านพ่อโมโห” ฉู่เซวียนหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดู ‘ห่วงใย’
แม้เป็นการเสแสร้ง แต่ก็จำเป็น
ฉู่เซวียนหลิงเป็นลูกชายของต้วนหลิงหลง ปีนี้อายุแปดขวบ ฝึกยุทธ์ถึงขั้นดิน ระดับสาม เป็นลูกรักของฉู่อวิ๋นเฟย
ลูกทั้งห้าคนของฉู่อวิ๋นเฟย มีเพียงฉู่เซวียนฉีและฉู่อีเหรินสองคนที่ไม่เอาไหนที่สุด คนหนึ่งไร้พรสวรรค์ คนหนึ่งป่วยมาตั้งแต่เกิด ถ้าไม่ใช่เพราะฉู่เซวียนอั๋งมีพรสวรรค์สูงส่ง ฉู่อวิ๋นเฟยคงจะไม่ไว้หน้า เมินโม่อี้โหรว ปล่อยให้นางเป็นเพียงภรรยาหลวงแต่ในนามอย่างแน่นอน
วันนี้เป็นเพราะฉู่เซวียนฉีฝึกวิชาพลังภายในไม่ผ่านสักที เคล็ดวิชากระบี่ก็เรียนไม่เอาไหน จึงถูกฉู่อวิ๋นเฟยเรียกตัวอบรม
อันที่จริงสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ทว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังจากฉู่เซวียนฉีอายุหกขวบ แทบจะเดือนเว้นเดือนเลยด้วยซ้ำ
ครั้นฉู่อวิ๋นเฟยไปตรวจสอบการฝึกยุทธ์ของลูกหลานที่ห้องฝึกรอบหนึ่ง ก็จะสั่งสอนเขารอบหนึ่ง โดยพิจารณาจากฉู่เซวียนอั๋งผู้มีพรสวรรค์ อายุสิบเอ็ดขวบกำลังจะผ่านขั้นดิน ระดับแปด กล่าวได้ว่าฉู่เซวียนฉีไร้พรสวรรค์โดยแท้
ในดินแดนเทพยุทธ์ การเป็นผู้เลิศล้ำกลายเป็นความหวังของผู้คน หนทางที่จะกลายเป็นผู้เลิศล้ำมีอยู่สองทาง คือเป็นนักยุทธ์หรือผู้วิเศษ
แต่การจะเป็นผู้วิเศษต้องมีพรสวรรค์เฉพาะทาง เมื่อเทียบกับจำนวนผู้คนที่อาศัยในดินแดนนี้ทั้งหมด นักยุทธ์มีจำนวนน้อยมาก
ลำดับขั้นของนักยุทธ์ แบ่งเป็นขั้นดิน ขั้นฟ้า และขั้นราชันยุทธ์ แต่ละขั้นแบ่งเป็นเก้าระดับ
ไม่ว่าจะฝึกฝนวิชาพลังภายในจากวรยุทธ์สำนักใด ยิ่งฝึกถึงช่วงหลังก็จะยิ่งผ่านได้ยาก ต้องใช้เวลานานกว่าและใช้กำลังมากกว่า ขั้นดินสามระดับแรกผ่านได้ง่ายที่สุด ผู้ที่ใช้เวลาหนึ่งปีสอบผ่านหนึ่งระดับถือว่ามีพรสวรรค์ การเลื่อนขั้นหลังจากระดับสี่ในขั้นดินจะต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล
แต่ฉู่เซวียนฉีเป็นลูกหลานสายตรงของประมุขตระกูลฉู่ สามขวบท่องวิชาพลังภายใน ห้าขวบเริ่มฝึกยุทธ์ จนกระทั่งปีนี้เจ็ดขวบยังคงอยู่ที่ขั้นดิน ระดับหนึ่ง ทำให้ฉู่อวิ๋นเฟยอับอายขายหน้าอย่างที่สุด มิน่าเล่าพอฉู่อวิ๋นเฟยพบหน้าเขาครั้งใด ก็อดสั่งสอนไม่ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะมีฉู่เซวียนอั๋งคอยปกป้อง แล้วฉู่เซวียนฉีเองก็ไม่ยอมแพ้ ฉู่อวิ๋นเฟยคงจะไม่ให้เขาไปฝึกที่ห้องวรยุทธ์อีกแน่นอน
“ข้าไม่เคยยอมแพ้” ฉู่เซวียนฉีเอ่ยอย่างเด็ดขาด
ไร้ความสามารถก็ปกป้องตนเองไม่ได้ ยิ่งปกป้องน้องสาวไม่ได้ด้วย ดังนั้นเขาจะต้องกลายเป็นผู้มีความสามารถให้จงได้ ไม่ว่ายากเพียงใดก็จะไม่ยอมแพ้!
“ไม่ยอมแพ้?” ลูกผู้พี่หัวเราะพรวดเสียงหนึ่ง “ผลของการไม่ยอมแพ้คือเจ้าก็จะฝึกยุทธ์ขั้นดิน ระดับหนึ่งทุกปี ทุกครั้งก็จะถูกประมุขตระกูลสั่งสอน รอวันใดที่ประมุขตระกูลทนไม่ไหวก็จะถีบเจ้าออกจากห้องฝึก พอถึงเวลานั้นคุณชายใหญ่ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะอับอายเพราะมีน้องชายไม่เอาไหนอย่างเจ้า ถูกหัวเราะเยาะลับหลัง!”
“หัวเราะอะไร” เสียงเด็กหญิงอ่อนหวานนุ่มนวลถามขึ้น ชวนให้คนฟังรู้สึกหวานชื่นไปถึงใจ
“หัวเราะยอดฝีมือสกุลฉู่ที่มีน้องชายและน้องสาวไม่เอาไหน…เอ๊ะ?!” น้ำเสียงเยาะเย้ยของลูกผู้พี่สะดุดลงในทันใด “ใคร!”
“ข้าเอง น้องสาวไม่เอาไหนที่พวกเจ้าพูดถึง” ฉู่อีเหรินกอดเสื้อกันลมยืนอยู่ด้านหลังประตูโค้งซึ่งเป็นทางเข้าเรือน จ้องมองเด็กชายทั้งสามคนพลางหัวเราะเสียงหวาน
น้องสาวไม่เอาไหน? ฉู่อีเหริน?!
ทันใดนั้นลูกผู้พี่กับฉู่เซวียนหลิงก็นึกได้ เรือนคุณชายใหญ่หรือพี่ใหญ่ยังมีคุณหนูน้อยหรือน้องสาวอยู่ด้วย เพียงแต่นางแทบไม่เคยเดินออกจากเรือน พวกเขาจึงไม่เคยพบหน้านาง นางก็คือ…ฉู่อีเหริน?