อันที่จริงด้านหน้าแผ่นหินคล้ายหน้าจอเรียงรายชื่อหนังสือและคำนำ อยากพลิกไปหน้าถัดไปก็เลื่อนนิ้วไปด้านซ้าย อยากพลิกไปหน้าที่แล้วก็เลื่อนนิ้วไปด้านขวา พอเห็นหนังสือที่ชอบก็ใช้นิ้วกดลงไป ตัวอักษรสีดำก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาว ทำเช่นนี้หลงจู๊ก็จะรู้ว่าเราต้องการหนังสืออะไร
ฉู่อีเหรินฟังไปฟังมาจนตะลึงงัน
นี่…นี่มันสมาร์ตโฟนชัดๆ!
คิดไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีการใช้วิทยาการเช่นนี้ ช่าง…ไม่ล้าหลังแม้แต่น้อย!
ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ไม่ต้องใช้ไวไฟ แผ่นหินแผ่นเดียวก็มีประสิทธิภาพถึงเพียงนี้…นี่คือโลกมหัศจรรย์โดยแท้!
“แผ่นหินรายชื่อหนังสือเช่นนี้เป็นของธรรมดามาก ร้านค้ามีเกือบทุกแห่ง โดยเฉพาะร้านที่มีสินค้าหลายชนิด เช่น ร้านหนังสือ ร้านขายอาวุธ ร้านขายโอสถ เป็นต้น บนแผ่นหินจะระบุราคาไว้ด้านล่างรายชื่อสินค้า” ฉู่เซวียนอั๋งอธิบายเสริม มือหนึ่งอุ้มนาง มือหนึ่งหยิบแผ่นหินรายชื่อหนังสือสีเทาให้นาง “เลือกหนังสือที่เจ้าชอบ ไม่ต้องสนใจราคา”
ฉู่เซวียนอั๋งไม่ได้เป็นคนรวยมือเติบ แต่เป็นเพราะเขามีเงินเก็บส่วนตัวอยู่ไม่น้อย ไม่เกี่ยวกับอายุ แต่เกี่ยวกับฐานะและพรสวรรค์
ในสกุลฉู่ ลูกหลานที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่จะได้รับเงินค่าขนมทุกเดือน คนที่อายุน้อย ยังไม่เริ่มฝึกยุทธ์อย่างเช่นฉู่อีเหรินที่เป็นลูกหลานสายตรง เดือนหนึ่งจะได้หนึ่งตำลึงเงิน นอกจากลูกหลานลุงป้าน้าอาก็จะถูกหักครึ่งหนึ่ง พอเริ่มฝึกยุทธ์ก็จะเริ่มตั้งแต่สองตำลึงเงินขึ้นไป จำนวนเงินค่าขนมจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวตามลำดับขั้นวรยุทธ์ แล้วจะมีการแจกโอสถเพื่อส่งเสริมการฝึกยุทธ์ตามสมควร
หน่วยเงินตราของดินแดนแห่งนี้แบ่งเป็นหนึ่งตำลึงทองเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึงเงิน หนึ่งตำลึงเงินเท่ากับหนึ่งร้อยจูเฉียน หนึ่งจูเฉียนเท่ากับหนึ่งร้อยเฉียน
ครอบครัวทั่วไปที่มีสี่คน หนึ่งปีใช้จ่ายราวยี่สิบตำลึงเงิน ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก แต่ถ้าเป็นนักยุทธ์ต้องใช้ของพวกอาวุธ เสื้อเกราะ โอสถ เป็นต้น ซึ่งล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น เงินยี่สิบตำลึงเงินสำหรับนักยุทธ์ถือว่าเป็นจำนวนไม่มากนัก
แสดงให้เห็นว่าการฝึกยุทธ์ก็เป็นอาชีพหนึ่งที่ผลาญเงินยิ่ง
มองจากราคาที่ระบุบนแผ่นหินรายชื่อหนังสือ ก็พอเห็นได้ว่าชื่อหนังสือบนแผ่นหินสีเทามีราคาถูกมาก มีหนังสือเล่มหนึ่งราคาไม่กี่สิบเฉียน ดังนั้นฉู่อีเหรินจึงเลือกหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ สภาพแวดล้อม สภาพราษฎรในดินแดนเทพยุทธ์อย่างไม่เกรงใจ เพื่อเสริมความรู้ตนเองเกี่ยวกับแผ่นดินแถบนี้ เพราะก่อนหน้านี้หนังสือที่นางอ่านส่วนมากล้วนเกี่ยวกับเรื่องราวที่ได้ยินมาในสกุลฉู่ เป็นเรื่องภายในคฤหาสน์สกุลฉู่ นางจะต้องใช้ชีวิตในดินแดนเทพยุทธ์ต่อไปในภายภาคหน้า ก็จำเป็นต้องเข้าใจแผ่นดินแถบนี้ด้วย
แต่พอมองหนังสืออีกสามประเภทล้วนมีราคาเป็นหน่วยตำลึงเงินขึ้นไป ฉู่อีเหรินปวดใจทันใด หนังสือที่นางอยากซื้อมีจำนวนมาก แต่เงินในกระเป๋ากลับไม่พอ…
“เป็นอะไรหรือ” ฉู่เซวียนอั๋งมองน้องสาวอย่างเป็นห่วง ยามนี้ดวงหน้าเล็กๆ แทบจะขมวดมุ่น
“เอ่อ…ไม่มีอะไร เพียงแต่กำลังคิดว่าถ้าข้าซื้อหนังสือจำนวนมาก พวกเราจะแบกกลับได้หรือ” นางไม่ลืมว่าพวกนางยังจะต้องไปเที่ยวนอกเมืองต่ออีก จึงใช้เรื่องนี้มาอำพรางความรู้สึกที่อยากได้แต่ไม่อาจครอบครองของตนได้พอดี
“ทางร้านจะช่วยไปส่งที่คฤหาสน์ ไม่ต้องแบกไป” ฉู่เซวียนอั๋งระบายยิ้ม เหลือบไปเห็นแผ่นหินรายชื่อหนังสือสีเขียวในมือนาง นางเอาแต่ยืนจ้องหนังสือสองเล่มในหน้านี้ตาไม่กะพริบ ท่าทางลังเลยิ่งนัก เขาจึงช่วยนางกดเลือกหนังสือให้เสียเลย
“พี่ใหญ่?!” เอ่อ…หนังสือสองเล่มนั้นรวมกันสามสิบกว่าตำลึงเงินเชียวนะ!