ตัวผอมเล็กแลดูบอบบาง สีหน้าขาวซีดยิ่งนัก ดูคล้ายโปร่งแสงภายใต้แสงตะวัน ราวกับจะอันตรธานหายไปได้ทุกเมื่อ ไม่เหมือนคนเป็นจริงๆ แต่อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้ากลับงดงามเป็นพิเศษ รอยยิ้มช่วยเสริมความซีดขาวจากความอ่อนแอ ชวนให้คนที่เพิ่งพบหน้าครั้งแรกยังตะลึงในความงดงาม แล้วเสียงนุ่มนวลที่ฟังระรื่นหูนั่นก็ทำให้คนฟังอดใจอ่อนไม่ได้ จนอยากฟังอีกสักครา…
ขณะที่ลูกผู้พี่และฉู่เซวียนหลิงกำลังตะลึงมองฉู่อีเหรินตาค้าง ฉู่เซวียนฉีก็เดินไปหานางทันที เห็นนางกอดเสื้อกันลมไว้จึงหยิบมาสะบัดแล้วสวมให้นาง ก่อนจะผูกสายรัดให้เรียบร้อย
“ไยเจ้าจึงออกมาล่ะ หนาวหรือไม่”
“ไม่หนาว พี่เล็กไม่ต้องห่วง” นางยิ้มให้พี่เล็ก ยอมให้เขากุมมือนางไว้ รู้สึกว่ามือเขายังสั่นเทาอยู่บ้าง เพราะเพิ่งโมโหที่ถูกทำให้ขายหน้าเมื่อครู่
ขณะที่เขากุมมือนางก็ค่อยๆ ลืมเลือนโทสะก่อนหน้านี้ไป เพียงกุมกำปั้นน้อยๆ สองข้างพลางขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้ายังว่าไม่หนาว มือเจ้าเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง”
“มือข้าก็เย็นเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่หนาวสักหน่อย” รอยยิ้มหวานๆ ของนางทำให้ฉู่เซวียนฉีตำหนินางไม่ลง ทำได้เพียงกุมมือนางไว้แน่นๆ คิดจะถ่ายทอดความอบอุ่นจากฝ่ามือตนเองไปให้นาง
พี่เล็กกุมมือนางไว้เช่นนี้ ไยจึงหันหลังกลับแล้วล่ะ
ฉู่อีเหรินไม่รู้จะทำเช่นไรดี แต่ยังคงคิดหาวิธีเบี่ยงตัว พี่เล็กอยากกุมก็กุมต่อไป นางอยากมองสำรวจเด็กชายแปลกหน้าสองคนนี้
อืม…คนด้านซ้ายที่เรียกว่า ‘ลูกผู้พี่’ คนด้านขวาคิ้วตาเรียวยาวคล้ายพี่เล็ก น่าจะเป็น ‘พี่รอง’ ฉู่เซวียนหลิง ที่นางเคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยพบหน้า
จากข้อมูลที่นางได้ยินจากสาวใช้ ขณะนี้ ‘ท่านพ่อ’ ผู้นั้นมีลูกห้าคน เรียงลำดับตามอายุ คนโตคือพี่ใหญ่อายุสิบเอ็ดขวบ ลูกสาวคนโตซึ่งเกิดจากต้วนหลิงหลง นามว่าฉู่เฉาหรง อายุสิบขวบ จากนั้นก็เป็นลูกชายคนรอง ฉู่เซวียนหลิง อายุแปดขวบ ต่อมาก็เป็นพี่เล็ก ลูกชายคนที่สาม ฉู่เซวียนฉี อายุเจ็ดขวบ คนสุดท้องก็คือนาง อายุสามขวบ
ในบรรดาลูกทุกคน นอกจากนางที่ป่วยบ่อยมาแต่เล็ก ถูกตีตราว่าไม่เอาไหน ครองตำแหน่ง ‘นักยุทธ์ไร้ค่า’ ก็ยังมีพี่เล็กที่เริ่มถูกทอดทิ้งตั้งแต่ห้าหกขวบ
เห็นชัดว่าเด็กชายสองคนที่เข้ามายุ่งอยู่ตรงนี้กำลังหาเรื่องพี่เล็กของนาง
“เจ้าคือ…น้องสาวคนสุดท้องของข้า ฉู่อีเหริน?” ฉู่เซวียนหลิงประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้นด้วยความอยากจะยืนยันฐานะของนาง
“ข้าคือฉู่อีเหริน” นางพยักหน้า แต่ไม่ได้ยอมรับว่าเขาเป็นพี่ชายอีกคนของนาง
“พอเจ้าเจอข้า ไยจึงไม่ทักทาย” ฉู่เซวียนหลิงจงใจขมวดคิ้ว
“ข้าไม่รู้จักเจ้า” ฉู่อีเหรินตอบไปตรงๆ
นอกจากพี่ใหญ่ พี่เล็ก และสาวใช้สองคนที่รับผิดชอบอาหารสามมื้อของนางแล้ว นางแทบจะไม่เคยพบเจอคนอื่น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่รู้จักเขา
“ข้าคือฉู่เซวียนหลิง เป็นพี่รองของเจ้า” แม้นางจะพูดถูก แต่ฉู่เซวียนหลิงก็ยังรู้สึกเหมือนตนเองถูกมองข้าม จึงเสียหน้าเล็กน้อย
“อ๋อ” ฉู่อีเหรินพยักหน้า แสดงว่า ‘รับรู้แล้ว’
เด็กชายคนนี้จะต้องมองพวกเขาสามคนเป็นศัตรูแน่นอน เหตุผลอาจเป็นเพราะท่านแม่ของแต่ละฝ่ายไม่ลงรอยกัน แล้วยังมีเรื่องเมื่อสามปีก่อนอีก
“คุณหนูน้อย ไยเจ้าจึงไม่เรียกคุณชายรองว่าพี่ล่ะ” ลูกผู้พี่ที่ถูกทิ้งไว้ด้านข้าง ในที่สุดก็มีโอกาสเอื้อนเอ่ย
“แล้วเจ้าคือใคร” ฉู่อีเหรินเอียงคอมองเขา สีหน้าแลดูไร้เดียงสาน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
“ข้า…นับตามอายุและลำดับอาวุโส ถือว่าเป็นลูกผู้พี่ของเจ้า” ลูกผู้พี่เอ่ยอย่างลำพองใจ