เด็กที่เพิ่งมีอายุเจ็ดขวบ เติบโตท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะต่างๆ นานา ถ้าพี่เล็กไม่ใช่คนซื่อและจริงใจมากพอ อีกทั้งยังดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ คงจะร้องไห้ฟูมฟายขี้มูกโป่งอย่างน้อยเนื้อต่ำใจทุกวันแน่
“อืม ข้าอยากเป็นผู้เลิศล้ำ” ฉู่เซวียนฉีมองน้องสาว แล้วเอ่ยเสริมอีกประโยค “วันข้างหน้าจะได้มีความสามารถปกป้องดูแลน้องกับพี่ใหญ่”
“อืม พยายามเข้านะ ขอเพียงมีความพยายาม ความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม!” ฉู่อีเหรินเขย่งปลายเท้า ตบบ่าพี่เล็กอย่างองอาจผึ่งผายเพื่อให้กำลังใจ
แต่ฉู่อีเหรินอ่อนแรงมาก ฉู่เซวียนฉีเพียงรู้สึกเหมือนถูกปุยฝ้ายตบบ่า จึงอดกุมมือเล็กๆ ของน้องสาวไว้ไม่ได้
“จริงสิ ไยเจ้าจึงไม่อยู่ในห้อง แต่กลับวิ่งออกมาเล่า” ยามนี้ฉู่เซวียนฉีนึกถึงเรื่องนี้ได้ในที่สุด
“พี่ใหญ่รับปากข้าว่าจะพาออกไปเดินเล่น ข้ากำลังรอพี่กลับมา พวกเราจะได้ไปด้วยกัน” ฉู่อีเหรินตอบพลางยิ้มตาหยี
“น้องฉี ฉู่อีเหริน” ในที่สุดคนที่ยืนอยู่ด้านข้างสักพักก็เดินออกมา ฉู่เซวียนอั๋งมองน้องชายและน้องสาว โดยเฉพาะอีเหรินน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะนางร่างกายอ่อนแอ เขากล้าพนันเลยว่าอีเหรินน้อยจะต้องเป็นสตรีที่เข้มแข็งคนหนึ่งแน่
“พี่ใหญ่!” ทั้งสองคนเรียกอย่างเบิกบานใจ
“อืม” เขาพยักหน้า ตรวจสอบเสื้อกันลมของฉู่อีเหรินอีกครั้งว่าสวมใส่เรียบร้อย ชุดของน้องชายก็เหมาะที่จะออกไปข้างนอก แล้วจึงจูงมือพวกเขาออกไปด้านนอกพลางเอ่ย “ข้าให้คนเตรียมรถม้าแล้ว อีกสักครู่เราจะไปร้านหนังสือก่อน จากนั้นค่อยไปเดินเล่นที่นอกเมือง…”
มิเสียแรงเป็นพี่ใหญ่ พอตัดสินใจจะออกข้างนอกก็จัดเตรียมการเดินทางและพาหนะอย่างเหมาะสม แล้วถือโอกาสรายงานท่านพ่อ สำหรับท่านแม่…แต่ไรมาไม่เคยสนใจอยู่แล้วว่าพวกเขาจะทำอะไร
“นอกเมือง?!” ด้วยเป็นครั้งแรกที่ฉู่อีเหรินได้ออกจากเรือน นางจึงมองไปรอบด้านอย่างจริงจัง แสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็น พอได้ยินประโยคนี้ของเขานางก็หันหน้ามาอย่างแปลกใจระคนดีใจทันที มองพี่ใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย
เดิมทีเพียงคาดว่าจะได้มองถนนหนทางที่แตกต่างจากโลกก่อนว่ามีสภาพเป็นเช่นไร ทว่ายามนี้กลับได้รู้ว่าจะได้ไปเที่ยวนอกเมืองอีกด้วย!
สวรรค์! ดียิ่งนัก
ต้องรู้ว่าฉู่อีเหรินนั้นจำใจ ‘อุดอู้’ อยู่ในเรือนมาสามปีเต็ม จนนางเกือบจะลืมไปแล้วว่าการเที่ยวเล่นมีความรู้สึกเช่นไร ยามนั้นได้แต่หวนนึกถึงชีวิตในโลกก่อนที่เป็นสุขเพราะได้เที่ยวเล่นมาปลอบประโลมใจ
“พี่ใหญ่ช่างประเสริฐยิ่ง” ฉู่อีเหรินกอดแขนพี่ใหญ่อย่างซาบซึ้ง เพราะนางตัวเล็กเหลือเกิน จึงดูคล้ายถุงทรายที่ห้อยไปมาบนแขนเขามากกว่า
“ระวังหน่อย” ฉู่เซวียนอั๋งรีบอุ้มน้องสาวขึ้นอย่างว่องไว ก่อนจะให้นางนั่งบนแขน เอนหัวพิงไหล่ของเขา และเดินออกไปด้วยสภาพเช่นนี้
ฉู่อีเหรินไม่อึดอัดใจ อย่างไรเสียยามนี้นางเป็นเด็กน้อย ถูกอุ้มก็สมควรอยู่…นางพยายามเตือนใจตนเองเช่นนี้เป็นสิบรอบ จากนั้นก็เริ่มมองทิวทัศน์ต่อ
ต้องบอกว่าคนตัวสูงมีข้อดีหลายอย่าง ให้พี่ใหญ่อุ้ม ตนเองไม่ต้องเดิน ทำให้ได้มองสภาพทั่วคฤหาสน์สกุลฉู่อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ส่วนที่สกุลฉู่สายตรงอาศัยคือเรือนด้านใน พวกเขาเดินจากเรือนด้านในผ่านลานสวน เลี้ยวไม่กี่ครั้งก็ถึงเรือนด้านหน้า จากนั้นเดินออกทางประตูใหญ่ รวมแล้วขั้นแรกนี้ใช้เวลาเกือบหนึ่งเค่อ
ฉู่อีเหรินลอบคาดเดาในใจ ยังไม่รวมโถงด้านหน้า แค่ตัวเรือนอย่างน้อยก็กินพื้นที่เกินร้อยผิง แล้วนี่ยังเป็นเพียงส่วนของเรือนหลัก ไม่รวมเรือนอื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียงอีกนะ
แสดงว่าสกุลฉู่มั่งคั่งยิ่ง มิเสียแรงที่เป็นตระกูลร่ำรวยมีชื่อเสียงหนึ่งในสามของดินแดนเทพยุทธ์