ครั้นออกจากคฤหาสน์ หลังจากที่พี่น้องสามคนนั่งบนรถม้า คนขับก็บังคับรถเคลื่อนไปบนถนนอย่างช้าๆ เพราะฉู่อีเหรินเรียกร้อง ฉู่เซวียนอั๋งจึงเลิกผ้าม่านด้านหนึ่งให้นางมองทิวทัศน์
คูเมืองที่ตั้งของคฤหาสน์สกุลฉู่ เรียกว่า ‘เมืองฉู่’ ตามบันทึกลำดับศักดิ์ของตระกูล ตระกูลฉู่มีประวัติศาสตร์อาศัยอยู่ที่นี่มากกว่าสองพันปี ขณะที่ฟังพี่ใหญ่กล่าว ฉู่อีเหรินก็ตะลึงงัน อ้าปากเป็นรูปวงกลม เกือบตะโกนคำว่า ‘โอ้’ ออกมา
มากกว่าสองพันปี เช่นนั้นต้องสืบทอดกันมากี่รุ่นล่ะเนี่ย!
ผลสุดท้ายพี่ใหญ่ก็ไขข้อสงสัยให้นาง หากมองจากเวลาสองพันปี พวกเขานับเป็นลูกหลานรุ่นที่สิบสาม บิดาของท่านปู่ทวดยังมีชีวิตอยู่ด้วย ยามนี้มีอายุสี่ร้อยสิบสองปี
ปีศาจเฒ่า! ฉู่อีเหรินตะโกนอยู่ในใจ
ราวกับพี่ใหญ่รับรู้ว่านางกำลังประหลาดใจ เขาลูบหัวนางพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นี่ไม่นับว่าแปลก เกิดเป็นนักยุทธ์ ขอเพียงผ่านถึงขั้นฟ้า ถ้าไม่ฆ่าตัวตาย ไม่ถูกทำร้ายจนตาย อย่างน้อยจะมีชีวิตอยู่ได้ราวสามร้อยปี ยิ่งมีพลังกล้าแกร่งยิ่งอายุยืนยาว”
นี่เป็นโลกแห่งจินตนาการโดยแท้ ฉู่อีเหรินคิดในใจ
ได้ ต้องทำตัวให้เคยชิน ในเมื่อยามนี้นางอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์ ไม่ได้อยู่บนโลกเดิมแล้ว ก็ต้องทำตัวให้เคยชินและทำใจเย็นๆ เข้าไว้
นั่งอยู่ในรถม้า มองไปข้างนอก ท้องถนนทั้งตัดตรงและกว้างขวาง ความกว้างของถนนอย่างน้อยมีรถม้าสามคันเคลื่อนไปมาพร้อมกันได้ บ้านเรือนสร้างอยู่บนสองฟากฝั่งถนน ทั้งเป็นระเบียบและใหญ่โต ส่วนใหญ่รักษาระดับความสูงสามชั้น ด้านหน้าร้านรวงมีขนาดพอๆ กัน เป็นระเบียบเสียจนพอมองแล้วอยากลงไปเดินเล่น
การก่อสร้างคล้ายรูปแบบยุคโบราณ เพียงแต่มีบางอย่างที่ก้าวหน้ากว่าหน่อย อย่างเช่นไฟที่ใช้ส่องตามแผงขายของ ไฟส่องป้ายร้าน ระยิบระยับสว่างไสว ทั้งยังสามารถเปลี่ยนเป็นสีต่างๆ ได้ จะจัดให้ส่องเฉพาะสินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่ง หรือมุมใดมุมหนึ่งก็ได้ ใช้ดีกว่าไฟนีออนหรือไฟฉายเสียอีก ทำให้ฉู่อีเหรินมองอย่างตะลึงงัน
…โลกลึกลับแห่งนี้ วิทยาการช่างก้าวหน้าเสียจริง ฉู่อีเหรินชื่นชมอยู่ในใจ
โชคดีที่นางชื่นชมอยู่ในใจ ไม่ได้โพล่งออกมา มิเช่นนั้นจะต้องถูกหัวเราะเยาะแน่ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงของเล็กๆ น้อยๆ ที่คนทั่วไปใช้กันในดินแดนเทพยุทธ์ ไม่น่าประหลาดใจเลยสักนิด
แต่ช่วยไม่ได้ ใครให้ฉู่อีเหรินเห็นแต่สิ่งของจำพวกไข่มุกแวววาวที่ใช้ส่องแสงในห้องตั้งแต่เล็กกันเล่า นางเคยถามพี่ชายจึงรู้ว่านั่นคือหินชนิดหนึ่งที่ใช้ส่องแสงในยามราตรีในดินแดนแห่งนี้ เดิมทีนางคิดว่านั่นคือสิ่งมหัศจรรย์พันลึกมากพอแล้ว ใครจะรู้ว่าสิ่งของที่ใช้ส่องแสงไม่ใช่สิ่งอัศจรรย์ที่สุด มีที่อัศจรรย์ยิ่งกว่ามากมาย ยามนี้ยังมีแม้แต่ไฟหลากสีที่สามารถควบคุมขอบเขตที่ส่องแสงไปได้ด้วย มิน่าเล่าฉู่อีเหรินถึงมีสีหน้าประหลาดใจ
“นั่นคือผลงานของช่างหลอม” ฉู่เซวียนอั๋งเห็นนางจ้องไฟหลากสีเหล่านั้น รู้ว่าน้องสาวรู้สึก ‘ทึ่ง’ มาก จึงอธิบายให้นางฟังว่า “ในดินแดนเทพยุทธ์ มีคนที่หลอมข้าวของเครื่องใช้และอาวุธโดยเฉพาะ พวกเราเรียกว่า ‘ช่างหลอม’ ลำดับขั้นของช่างหลอมก็เหมือนกับนักยุทธ์ แบ่งเป็นสามขั้นคือช่างหลอม ปรมาจารย์ช่างหลอม และราชาช่างหลอม แต่ละขั้นแบ่งเป็นสามระดับ ต้น กลาง สูง
ลำดับขั้นของช่างหลอมตัดสินโดย ‘สมาคมช่างหลอม’ สมาคมยินดีต้อนรับช่างหลอมในดินแดนให้เข้าร่วม พวกเขาสามารถนำผลงานของตนที่หลอมออกมาให้สมาคมวางขายหรือประมูลได้