เดิมทีไป่หลี่จิงหงอยากจะเฝ้าอยู่ข้างๆ แต่กลับได้ยินเขี้ยวเงินพูดว่า “ไปอาบน้ำที่ริมทะเลสาบได้”
“ต้องอาบให้ตัวหอมๆ” เสี่ยวทุนพูดสมทบ
ไป่หลี่จิงหงถึงได้ค้นพบว่าชุดดำบนร่างตนเองเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นเน่า
นั่นเป็นเลือดเสียและปราณเสียที่ถูกขับออกมานอกร่างกาย
ไป่หลี่จิงหงทำหน้าเย็นเยียบปานภูเขาน้ำแข็ง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปริมทะเลสาบทันที
มุมชั้นหนึ่งของหอสุราฝูอวิ้นไหล หลิงเซ่าจวินที่ยึดครองโต๊ะสี่ที่นั่งตัวหนึ่งไว้ผู้เดียวกำลังดื่มชาวิเศษอย่างใจเย็น
บุคลิกสง่าผ่าเผยเฉกเช่นที่ผ่านมา ทำให้คนมองไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าภายในใจเขากำลังมีเมฆดำปกคลุมหนาทึบ พร้อมที่จะมีฝนตกฟ้าผ่าลงมาได้ทุกเมื่อ
หลายวันมานี้เมืองโยวหูมีคนเพิ่มมากขึ้น คนจากกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ ก็ค่อยๆ มากันครบแล้ว ทุกวันล้วนจะเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ชาวเมืองโยวหูแทบจะไม่เข้าเมืองแล้ว เพียงรวมตัวกันอยู่ในเขตที่พักอาศัยของตนเอง มิเช่นนั้นเกิดถูกลูกหลงจากคนที่วิวาทกันขึ้นมาจะถือว่าโชคร้ายมากเพียงไร
หลายวันมานี้หอสุราฝูอวิ้นไหลทั้งหอก็นับว่ามีคนเข้าพักเต็มแล้ว นอกจากคนของภาคีผู้ฝึกตนก็ยังมีคนของเฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ย
อีกผู้หนึ่งจากภาคีผู้ฝึกตนที่ควรมาถึงก็มาถึงแล้ว…คือประมุขน้อยแห่งหอหลอมประดิษฐ์
เมื่อพิจารณาถึงการเข้าไปในแดนสมบัติรวมถึงข้อจำกัด คุณสมบัติ และความสามารถของคนในรายชื่อ การเข้าแดนสมบัติแรกนภาในครั้งนี้จึงให้หอโอสถ หอหลอมประดิษฐ์ และหอลงทัณฑ์เป็นทัพหลัก
หากแต่คนบางคนหลังจากส่งข่าวมาตอนดึกก็เริ่มเล่นซ่อนแอบ จนบัดนี้เข้าวันที่สิบแล้วก็ยังคงไม่เห็นเงา
หาคนก็หาไม่เจอ ส่งข่าวก็ไร้การตอบรับ ทำให้เมฆเหนือศีรษะหลิงเซ่าจวินมืดครึ้มขึ้นทุกวัน
เฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ยพอจะรู้นิสัยของเขา สองวันมานี้จึงหลีกลี้หนีหน้า ไม่กล้ามาหาเขาส่งเดช
ต่อให้ชาวิเศษอร่อยเพียงไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิต
ตามคำบอกของเฟิ่งไหวซิน ‘ชายหนุ่มรูปงามผู้มีกิริยาสง่าผ่าเผย ระยะนี้อารมณ์ไม่สู้ดี นิสัยใจคอโน้มเอียงไปทางมังกรพ่นไฟ อันตราย อันตรายมาก ต้องระวัง’
มีเพียงประมุขหอน้อยแห่งหอหลอมประดิษฐ์ซึ่งเพิ่งรุดมาถึงเมื่อเย็นวานมิได้รู้ต้นสายปลายเหตุ และมิได้รู้สึกถึงพยับเมฆหนาทึบโดยสิ้นเชิงหลังจากตื่นนอนก็ยังคงทะเล่อทะล่าเอาตัวไปอยู่เบื้องหน้าหลิงเซ่าจวิน
ประมุขหอน้อยแห่งหอหลอมประดิษฐ์ หลงชิงเหยา ได้ผสานเชื้อไฟอัศจรรย์ของฟ้าดินเข้าในร่างกาย ภายนอกดูมีลักษณะเป็นคนหนุ่มรูปงามที่เวลาถูกหยุดไว้ในช่วงเพิ่งเติบโตมาโดยตลอด ทว่าอายุจริงนั้นร่วมสามร้อยปีแล้ว เป็นช่างหลอมผู้สามารถหลอมอาวุธวิเศษซึ่งในดินแดนแรกนภามีอยู่น้อยยิ่งกว่าหมอโอสถขั้นเจ็ด
“เซ่าจวิน หลับสบายหรือไม่”
“ท่านเล่าหลับสบายหรือไม่ ไฉนจึงไม่นอนต่ออีกหน่อย” หลิงเซ่าจวินย้อนถาม ทำท่าบอกให้เขานั่งลง จากนั้นก็รินชาวิเศษถ้วยหนึ่งวางไว้ตรงหน้าเขา
อีกถ้วยรินให้องครักษ์ที่เดินมาช้ากว่าหลงชิงเหยาหนึ่งก้าว
“ข้าเพิ่งมาเมื่อคืน ยังไม่รู้สถานการณ์อะไร ไม่รู้เช่นกันว่าต้องร่วมมือกับพวกท่านอย่างไร จึงอยากมาถามท่านดูก่อน” หลงชิงเหยาพยายามทำตัวให้ตื่น
หลิงเซ่าจวินให้สะทกสะท้อนใจขึ้นมาในทันที นี่สิถึงจะเป็นท่าทีที่ชายหนุ่มผู้เก่งกล้าสามารถมีความรับผิดชอบพึงมี ไม่เหมือนคนบางคนที่จู่ๆ ก็หายตัวไปกลางดึก นั่นเป็นเพราะอะไรกัน
“คนของหอหลอมประดิษฐ์มากันครบแล้วหรือ” หลิงเซ่าจวินถาม
“อืม มาครบแล้ว” หลงชิงเหยาตอบแต่โดยดี