“ผู้อาวุโส ท่านรู้สาเหตุการป่วยของน้องสาวข้าใช่หรือไม่ ท่านรักษานางได้หรือไม่” ฉู่อีเหรินอาจจะยอมรับอย่างสงบได้ แต่ฉู่เซวียนอั๋งรับไม่ได้ เขาไม่อาจมองน้องสาวที่ตนคอยฟูมฟักดูแลมาตั้งแต่เกิดจากโลกนี้ไปกับตาตนเอง นางยังไม่ทันเติบโต ไม่ทันได้เรียนรู้ชีวิต ช่างไม่ยุติธรรมต่อนางเอาเสียเลย
บุรุษผู้นั้นไม่สนใจเขา เอ่ยถามนางต่อว่า “พ่อแม่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ามีสุขภาพย่ำแย่”
“…ข้าไม่รู้” ฉู่อีเหรินครุ่นคิดไปมา นางไม่แน่ใจจริงๆ ว่าพ่อแม่รู้สภาพของนางหรือไม่
“ไม่รู้?!” ในที่สุดบุรุษผู้นั้นก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาเป็นคราแรก หัวคิ้วเขาขมวดมุ่นทันใด
“ไม่รู้ได้อย่างไร” เฟิงเหยี่ยนก็แปลกใจเช่นกัน เขาหันหน้าไปถามลูกศิษย์ที่เพิ่งรับมา
“ตั้งแต่ฉู่อีเหรินเกิดก็ไม่เคยเจอหน้าท่านพ่อท่านแม่ พวกเขา…ก็ไม่เคยเอ่ยว่าอยากพบหรือเป็นห่วงฉู่อีเหริน ที่ผ่านมามีพี่ใหญ่และข้าคอยดูแลนาง” ตนเองถูกด่าว่า ถูกละเลย ฉู่เซวียนฉีไม่เคยโอดครวญ พยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่ง แต่สำหรับฉู่อีเหริน…เขากลับไม่เข้าใจท่านพ่อท่านแม่อยู่บ้างจริงๆ
ฉู่อีเหรินอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจะเป็นจะตายอยู่หลายครั้ง แต่ท่านพ่อท่านแม่ไม่เคยแยแส ไม่เคยแสดงความห่วงหาอาทรสักครั้ง ทุกครั้งที่นางป่วยเขาและพี่ใหญ่จะผลัดกันเฝ้านางตลอดคืน เพียงหวังว่าน้องสาวคนนี้จะเจ็บปวดน้อยลง สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ โชคดีมากแล้วที่ยามนี้ฉู่อีเหรินก็ยังอยู่ข้างกายพวกเขา
ครั้นเฟิงเหยี่ยนและสหายรักได้ยินเขาบอกเช่นนี้ก็สบตากันแวบหนึ่ง ก่อนที่บุรุษผู้นั้นจะเอ่ยถามฉู่อีเหรินต่อ
“เจ้าเกลียดพ่อแม่หรือไม่”
“ไม่เกลียด” ฉู่อีเหรินตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ไยจึงไม่เกลียด”
“คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไยจึงต้องเกลียด” ฉู่อีเหรินถามกลับด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและงุนงง ดูท่าจริงใจอย่างที่สุด
บุรุษผู้นั้นตะลึงงันชั่วครู่ คล้ายคิดไม่ถึงว่านางจะตอบเช่นนี้
“เจ้าไม่กลัวว่าพอคนอื่นรู้เข้า จะด่าว่าเจ้าอกตัญญู ด่าว่าเจ้าไร้น้ำใจ ไม่รู้จักบุญคุณหรือ” เขาถามอย่างลึกซึ้ง
ฉู่อีเหรินหัวเราะร่า “คนอื่นอาจหัวเราะเยาะว่าข้าบ้า ข้าก็จะหัวเราะเยาะพวกเขาว่าไม่เข้าใจชีวิต ข้าก็แค่ตอบตามที่ใจคิดเท่านั้น”
ประโยคนี้ทำให้บุรุษอาวุโสทั้งสองคนที่อ่านคนมาไม่รู้เท่าไรตะลึงพรึงเพริดไปพร้อมกัน
คนอื่นหัวเราะเยาะว่านางบ้า นางก็จะหัวเราะเยาะพวกเขาว่าไม่เข้าใจชีวิต คนนอกไม่ใช่นาง ไม่รู้หรอกว่านางเจออะไรมาบ้าง มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินนางว่าถูกหรือผิด
แล้วประโยคที่ว่า ‘ตอบตามที่ใจคิดเท่านั้น’ บ่งบอกได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าเด็กหญิงตัวเล็กเท่านี้ ช่างมีความกล้าหาญและความบ้าระห่ำยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก นางเมินเฉยต่อสายตาทางโลก คนอื่นก็เลิกคิดได้เลยที่จะใช้สายตาทางโลกมาผูกมัดตัวนาง
“ฮ่าๆ ประเสริฐ! ช่างประเสริฐโดยแท้!” จู่ๆ บุรุษผู้นั้นก็หัวเราะร่า แสดงสีหน้ายกย่องชมเชยอย่างมาก
เฟิงเหยี่ยนมองนางราวกับมองสัตว์ประหลาดกระนั้น
“อีเหรินน้อย เจ้ามีอายุเพียงสามขวบจริงๆ หรือ”
เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพิ่งสามขวบก็สามารถเอ่ยประโยคเช่นนั้น มีสภาพจิตใจเช่นนั้นได้หรือ
นี่ออกจะน่าตกใจเกินไปหรือไม่!
นี่ทำให้พวกเขาบุรุษอกสามศอกที่ยังใช้ชีวิตท่ามกลางสายตาทางโลกจนถึงขณะนี้ จะมีชีวิตต่อไปอย่างไรภายใต้คำว่า ‘ผู้อาวุโส’ ที่ผู้อื่นเรียกกัน
เป็นครั้งแรกที่เฟิงเหยี่ยนตั้งคำถามนี้กับตนเอง เขาแก่ชราแล้วหรือไม่ เขาเป็นผู้อาวุโสในสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษที่อ่อนวัยที่สุด คนที่แก่กว่าเขามีมากมาย…จะแก่ชราได้อย่างไร
“ปีนี้ข้ามีอายุสามขวบ” ฉู่อีเหรินพยักหน้าไปทางเฟิงเหยี่ยนด้วยท่าทีจริงจัง สุ้มเสียงแน่ใจเป็นที่สุด แต่กล่าวเสริมในใจเงียบๆ ประโยคหนึ่ง ไม่รวมชาติที่แล้วที่มีอายุสามสิบปี นับแค่ชาตินี้น่ะนะ นางยอมรับอย่างมั่นใจ นางมีอายุเพียงสามขวบจริงๆ