คนเรียกขานโม่ซั่งเฉินว่า ‘ปีศาจโม่’ กระทำการตามอำเภอใจ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เมินต่อศีลธรรมทางโลก ในตำนานดินแดนเทพยุทธ์ เขาคล้ายบุรุษผู้เป็น ‘ราชันยุทธ์’ มากที่สุด นอกจากจะมีพรสวรรค์ในการเป็นนักยุทธ์ เขายังหลอมโอสถได้ รวมถึงเชี่ยวชาญศาสตร์กลไกที่ลึกลับที่สุด พูดให้เข้าใจง่ายๆ นี่ก็คือยอดฝีมือคนหนึ่ง แล้วยังเป็นยอดฝีมือที่ ‘เป็นเลิศในทุกด้าน’ มีคนนับถือเขามากมาย แต่คนที่อิจฉาตาร้อนมีมากกว่า
สำหรับเรื่องเกาะโม่เสวียน เล่าลือกันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง โม่ซั่งเฉินสำรวจพบเกาะแห่งหนึ่งเหนือน้ำทะเล ต่อจากนั้นก็ใช้เกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยและตั้งชื่อว่า ‘เกาะโม่เสวียน’
ไม่มีใครรู้ว่าเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใด เคยมีคนลองตามรอยโม่ซั่งเฉินเพื่อค้นหาเกาะแห่งนี้…เพราะคนมากมายตระหนักว่าเกาะที่ทำให้โม่ซั่งเฉินถูกใจได้จะต้องเป็นสิ่งล้ำค่า
แม้โม่ซั่งเฉินจะรู้ว่ามีคนตามรอยก็ไม่สนใจ เพราะคนเหล่านี้จะต้องหลงทิศทางบนทะเลแน่ จะกลับฝั่งได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ก็ต้องพึ่งโชควาสนาช่วย
ดังนั้นจนถึงขณะนี้ เกาะโม่เสวียนอยู่ที่ใดกันแน่และมีลักษณะพิเศษเช่นไรจึงยังคงเป็นปริศนาอยู่
“ท่านตาช่าง…เป็นบุคคลเก่งกาจหาตัวจับยากจริงๆ” ฉู่เซวียนอั๋งนึกคำอธิบายได้เพียงเท่านี้
“ไม่ว่าท่านตาจะเก่งกาจหรือไม่ ท่านตาก็คือท่านตา” ฉู่อีเหรินพูดจบยังหันหน้าไปเรียกเขา “ถูกหรือไม่ท่านตา”
โม่ซั่งเฉินค่อยๆ เงยหน้าจากกระดานหมากรุก เขามองฉู่อีเหรินอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะตอบรับนางเบาๆ ว่า “อืม”
จากนั้นก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับกระดานหมากรุกต่อ
“ฉู่อีเหริน…” ฉู่เซวียนอั๋งจนคำพูด
ทว่าอย่างน้อยนี่ก็ยืนยันได้ว่าท่านตาถูกชะตากับฉู่อีเหรินยิ่งนัก จะต้องดูแลนางเป็นอย่างดี เขาจึงนับว่าวางใจได้ไปส่วนหนึ่ง
“ฉู่อีเหริน ท่านตาบอกหรือไม่ว่าจะพาเจ้ากลับมาเมื่อไร”
“เอ่อ…ไม่รู้เหมือนกัน” ฉู่อีเหรินคิดไปมา “ต่อไปข้าค่อยถามท่านตา แล้วจะเขียนจดหมายมาบอกพวกพี่ เมื่อถึงเวลานั้นหากมีเวลา พวกเราจะได้พบกัน” ฉู่อีเหรินกอดพี่ใหญ่และพี่เล็กอีกครา
“พี่ใหญ่ พี่เล็ก พวกพี่จะต้องปกป้องตัวเองให้ดี ห้ามบาดเจ็บ ห้ามป่วย รอไว้พวกเราพบกันคราวหน้า พวกพี่จะต้องปกป้องข้านะ” ฉู่อีเหรินเอ่ยอย่างน่ารักและอ่อนโยนยิ่ง
“ได้” ฉู่เซวียนอั๋งพยักหน้า
“ข้าจะต้องปกป้องเจ้า” ฉู่เซวียนฉีก็พยักหน้า
พี่ชายน้องชายสองคนต่างกล่าวคำสาบานในใจว่าจะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง พวกเราจะต้องกลายเป็นผู้เลิศล้ำกว่านี้ก่อนฉู่อีเหรินจะกลับมา
“โฮ่วๆ”
ยามนั้นสัตว์น้อยวิ่งออกมาเอง มันปีนไปบนบ่าของฉู่เซวียนฉี ร้องเรียกฉู่อีเหรินสองเสียง ความหมายคือข้าจะฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง คอยปกป้องเจ้า
ฉู่อีเหรินอดแย้มยิ้มไม่ได้
“ได้ ข้าจะรอวันที่เจ้าแข็งแกร่ง แต่เจ้าต้องอยู่กับพี่เล็กให้ดีๆ นะ แล้วก็ต้องปกป้องเขาด้วย”
“โฮ่วๆ” ความหมายของมันก็คือได้ ไม่มีปัญหา
โม่ซั่งเฉินไม่ได้ใส่ใจการสื่อสารของคนกับสัตว์ยามนี้ ทว่าเฟิงเหยี่ยนกลับใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอีกครา
นี่หรือว่า…อีเหรินน้อยจะฟังภาษาสัตว์ออกจริงๆ
เป็น…เป็นไปได้หรือ
ก่อนจากลา โม่ซั่งเฉินก็มอบกระเป๋าวิเศษที่เหมือนกับของฉู่เซวียนฉีให้แก่ฉู่เซวียนอั๋งใบหนึ่ง ในฐานะที่เขาทำหน้าที่พี่ใหญ่ได้อย่างเหมาะสม แล้วฉู่อีเหรินก็เคารพเขายิ่งนัก
อันที่จริงเขาและเฟิงเหยี่ยนไม่ใช่ไม่เสียดายกระเป๋าวิเศษ แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาพเนจรไปมาหลายที่ ได้รับของล้ำค่ามาไม่น้อย กระเป๋าวิเศษก็คือหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าพวกเขาตัวคนเดียว ไปมาคนเดียว มีสิ่งของมากมายก็ใช้ไม่หมด แล้วพวกเขาก็มีนิสัยชอบตามใจตนเอง พบคนถูกชะตาก็จะมอบให้อย่างไม่มีข้อแม้
“บนหนทางแห่งนักยุทธ์ไม่มีทางลัด นอกจากพรสวรรค์ ยังต้องพึ่งความขยันหมั่นเพียรยิ่งกว่า นอกจากฝึกฝนวิชาพลังภายใน กระบวนท่า สั่งสมพลังยุทธ์แล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าคือสภาพจิตใจ จิตใจเจ้าใหญ่เพียงพอ วิสัยทัศน์ก็จะเปิดกว้างเพียงพอ จึงจะสามารถดำเนินไปสู่ขั้นสูงได้ แต่จะบรรลุได้สูงเพียงใด ทั้งหมดนี้ต้องขึ้นอยู่กับเจ้า”
คำตักเตือนนี้โม่ซั่งเฉินมอบให้ฉู่เซวียนอั๋งเพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะฉู่เซวียนฉีมีเฟิงเหยี่ยนคอยเป็นห่วงดูแลอยู่แล้ว
ฉู่เซวียนอั๋งในยามนี้อาจไม่เข้าใจ ทว่าภายภาคหน้าเมื่อเขาผ่านถึงขั้นฟ้าแล้วก็จะกระจ่างแจ้งในความหมายของท่านตา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาหลบเลี่ยงทางคดเคี้ยวในระหว่างการฝึกฝนได้มาก เมื่อรักษาใจให้มั่น จะมีชื่อเสียงเลื่องลือในดินแดนเทพยุทธ์อย่างแน่นอน
(ติดตามต่อได้ในเล่ม)