เบื้องบนขยับปากสั่งการ เบื้องล่างวิ่งเต้นตามขาแทบหัก ยังไม่ต้องพูดถึงการตัดสินใจกะทันหันของฮ่องเต้นี้ว่าจะนำความยุ่งยากมาให้คนเบื้องล่างเพียงใด เฉิงหยวนจิ่งได้ยินแล้วยังต้องใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
หลิวอี้ก้มหน้า ไม่กล้ารบกวนการใคร่ครวญของผู้เป็นนาย ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเฉิงหยวนจิ่งจึงวางพู่กันลง ประทับตราขุนนางของตนลงบนกระดาษ แล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะทูลพระองค์เอง”
หลิวอี้เข้าใจแล้วว่านี่มีความหมายว่าไม่ให้เขาพูดอะไรมากอีก หลิวอี้มีเหงื่อท่วมศีรษะโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่เขาอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทมาเป็นเวลานาน ย่อมเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายได้บ้าง ตอนที่ฝ่าบาทส่งคนมาถาม เขาก็พูดกลบเกลื่อนว่าองค์รัชทายาทถูกไอเย็น ไม่ได้พูดถึงเรื่องของคุณหนูใหญ่เฉิง ตอนนี้ดูไปแล้วนับว่าเขาเก็บชีวิตกลับมาได้โดยไม่รู้ตัว
หลิวอี้ในใจสับสน ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรจะคิดเรื่องอะไร สายตาเขาเห็นยาบนโต๊ะที่ใกล้เย็นแล้ว จึงพูดเตือนอย่างระวังตัว “องค์รัชทายาท พระองค์ควรจะดื่มยาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงอวี๋จิ่นเมื่อวานกลับมาก็ล้มป่วย เฉิงหยวนจิ่งยังทนไหว ทว่าเหล่าขันทีที่คอยปรนนิบัติพากันหวาดหวั่น กลัวว่าผู้เป็นนายจะไม่สบายไป เพียงเฉิงหยวนจิ่งปวดหัวเป็นไข้เล็กน้อย หัวของพวกเขาก็คงต้องหลุดออกจากบ่าแล้ว
ดังนั้นที่ห้องเฉิงหยวนจิ่งจึงมียาขับความเย็นเช่นกัน แต่เฉิงหยวนจิ่งรู้สึกว่าร่างกายไม่เป็นไรมาก จึงคร้านจะดื่ม หลิวอี้ใช้พลังความคิดทั้งหมดอยากจะพูดกล่อมแต่ก็ไม่กล้า ทำได้เพียงเปลี่ยนวิธีเป็นพูดเตือนให้เฉิงหยวนจิ่งดื่มยา
เป็นจริงดังคาดเฉิงหยวนจิ่งฟังคำพูดนี้แล้วมีทีท่าไม่สนใจอะไร ไม่ได้คิดจะกินยาแม้แต่น้อย หลิวอี้ปวดหัวอย่างมาก เขายังอยากจะพูดกล่อมอีก ทว่าจู่ๆ หูก็พลันขยับ เฉิงหยวนจิ่งได้ยินเสียงพูดคุยที่นอกเรือนเช่นกัน จึงถามเสียงเข้มว่า “ใครกัน”
องครักษ์หยุดยืนหน้าประตู ตอบอย่างนอบน้อมว่า “เรียนนายท่าน เป็นสาวใช้ของคุณหนูใหญ่เฉิงขอรับ”
หลิวอี้พบว่าสีหน้าของเฉิงหยวนจิ่งอ่อนโยนลงทันที เขาผ่อนคลายไหล่ แล้วพูดว่า “ให้นางเข้ามา”
ตู้รั่วก้มหน้าเดินเข้าประตู ไม่กล้าเงยหน้ามองคนตรงหน้าเลย หลังจากคำนับตามมารยาทแล้ว จึงพูดว่า “เรียนนายท่านเก้า คุณหนูฟื้นแล้วเจ้าค่ะ อยากจะขอบคุณท่านต่อหน้า ไม่รู้ว่านายท่านเก้าสะดวกหรือไม่เจ้าคะ”
แท้จริงแล้วไม่สะดวกนัก หลิวอี้ลอบคิดว่าฮ่องเต้ยังรออยู่ข้างนอก ในที่ลับก็ยังมีเรื่องสุมกองใหญ่ เฉิงหยวนจิ่งออกไปตอนนี้ เรื่องเหล่านี้ก็ต้องเลื่อนไปอีก แต่หลิวอี้กลับรู้ว่าสำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนูใหญ่เฉิงแล้ว เฉิงหยวนจิ่งต้องมีเวลาว่างแน่นอน
เป็นจริงดังคาด เพียงได้ยินว่าเฉิงอวี๋จิ่นฟื้นแล้ว เฉิงหยวนจิ่งก็ลุกพรวดขึ้นยืนทันที ก้าวยาวออกไปข้างนอก “นางฟื้นแล้วหรือ เป็นเรื่องเมื่อใด เหตุใดจึงไม่มารายงานทันที”
เฉิงอวี๋จิ่นนั่งพิงบนเตียงคนต้มถั่วแดงเห็ดหูหนูขาว ในปากยังอมบ๊วยไว้เม็ดหนึ่ง นางเพิ่งชิมไปได้สองเม็ด เฉิงหยวนจิ่งก็มาถึงแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นวางชามในมือลง นางยืนขึ้นมาคำนับตามธรรมเนียมอย่างดี “ท่านอาเก้า”
เฉิงหยวนจิ่งเห็นเฉิงอวี๋จิ่นเดินลงพื้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาส่งสัญญาณให้เฉิงอวี๋จิ่นไม่ต้องยุ่งยาก เฉิงอวี๋จิ่นถอยหลังหนึ่งก้าว หลบมือของเฉิงหยวนจิ่ง คำนับตามธรรมเนียมจนจบชุดพิธี
“ขอบคุณบุญคุณที่ท่านอาเก้าช่วยชีวิต”
เฉิงหยวนจิ่งหลุบตามองมือที่คว้าไม่ได้กลางอากาศ จ้องนิ่งไปที่เฉิงอวี๋จิ่น ไม่ได้พูดจา
เฉิงอวี๋จิ่นก็ไม่รีบร้อน ยังคงอยู่ในท่าคำนับที่งดงามที่สุด รออยู่อย่างนอบน้อม
เฉิงอวี๋จิ่นไม่ทำให้เสียชื่อ ป่วยหนักยังไม่ทันหาย นางก็สามารถอยู่ในท่าคำนับนานเช่นนี้ โดยที่ตัวไม่โอนเอนแม้แต่น้อย เฉิงหยวนจิ่งสุดท้ายทนเห็นนางเหนื่อยไม่ไหว นางยังไม่หายป่วย ตัวนางเองไม่ใส่ใจ แต่เฉิงหยวนจิ่งทำไม่ได้
“ลุกขึ้นเถอะ”
“เจ้าค่ะ” เฉิงหยวนจิ่งนั่งลงก่อน เฉิงอวี๋จิ่นรับคำ ในตอนนี้จึงยืดตัวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ท่าทีการกระทำนี้แตกต่างกับตอนอยู่หน้าท่านอาในจวนสกุลเฉิง
หรืออาจจะพูดได้ว่านี่จึงจะเป็นระยะห่างปกติระหว่างพวกเขา
ทุกคนเห็นสถานการณ์ผิดปกติจึงถอยออกไปจนหมด พอประตูปิดลงก็เหลือเพียงเฉิงอวี๋จิ่นกับเฉิงหยวนจิ่งสองคน
เฉิงหยวนจิ่งนั่งลง เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้าเล็กน้อย ดวงตาจ้องลงบนพื้นอย่างมีมารยาท อ่อนโยนและนอบน้อม เฉิงหยวนจิ่งมองดูท่าทีเช่นนี้ของนางแล้วก็โมโหอย่างไร้สาเหตุ “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรกระทำ” เฉิงอวี๋จิ่นหลุบขนตาลง ปิดบังสายตาในดวงตา พูดเสียงเบาว่า “องค์รัชทายาท”