หากช้ากว่านี้อีกหนึ่งวัน เฉิงอวี๋จิ่นรู้ว่าอันตรายจากสกุลตี๋คลี่คลายลงแล้ว นางคงไม่มีทางทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้เด็ดขาด แต่ตอนนั้นนางไม่รู้เรื่อง โอกาสหลุดลอยไปได้ง่าย ในเวลานั้นเฉิงอวี๋จิ่นจำต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด
เฉิงอวี๋จิ่นไม่พูดอะไรอยู่เป็นนาน สุดท้ายถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “ช่างเถอะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว วางหมากไปแล้วก็ไม่เสียใจ ไม่มีอะไรต้องพูดอีก”
เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง บีบนิ้วชี้ของนางจากบนลงล่างหนึ่งรอบ เสียงพูดไม่เร็วไม่ช้า “เจ้าไม่เชื่อใจข้า? เพราะเจ้าไม่เชื่อใจข้า จึงได้ทำเรื่องกระโดดลงน้ำในฤดูหนาวบีบให้คนมาช่วยเจ้า ถ้าเจ้ามีความเชื่อใจข้าบ้างสักนิดก็คงไม่ต้องทำเรื่องเช่นนี้”
เฉิงอวี๋จิ่นนิ่งเงียบ ตอนนั้นนางช่วยคนเป็นเรื่องจริง แต่ต่อมาเห็นชั้นน้ำแข็งแตก จึงได้เกิดความคิดอื่นขึ้นมาบ้าง นางลงไปในน้ำครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยคน ครึ่งหนึ่งทำไปตามน้ำ
นางหลอกลวงทุกคนได้ แม้แต่ตู้รั่วที่ติดตามนางนานที่สุดยังคิดว่าตอนนั้นนางร้อนใจจะช่วยคน จนปัญญาจึงกระโดดลงไป แท้จริงแล้วหากไม่ใช่ตอนนั้นหลินชิงหย่วนอยู่ เฉิงอวี๋จิ่นหมุนตัวถอยกลับฝั่งนั้นไม่เป็นปัญหา ชื่อเสียงสำคัญ แต่ชีวิตของนางสำคัญยิ่งกว่า จวนโหวมีบ่าวคุ้มกันที่ร่างกายแข็งแกร่งและมีประสบการณ์มาก เหตุใดนางต้องเสี่ยงอันตรายเองด้วย
แต่เฉิงหยวนจิ่งเพียงแวบเดียวก็มองออกแล้ว บางทีตอนที่เขากระโดดลงมาช่วยนางก็เข้าใจแล้วว่านางคิดจะทำอะไร
เฉิงอวี๋จิ่นถอนหายใจแล้วถามว่า “ในเมื่อพระองค์ทราบแล้ว ตอนนั้นเหตุใดยังมาช่วยชีวิตหม่อมฉันอีก แม่น้ำในฤดูหนาวไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย”
“ข้าไม่มาช่วยเจ้าแล้วจะทำอย่างไร ดูเจ้าหมดแรงไปเอง หรือดูชายอีกคนมาช่วยเจ้า” เสียงของเฉิงหยวนจิ่งไม่เร็วไม่ช้า ทั้งที่ไม่มีความแข็งกร้าว แต่พอเข้าหูแล้วฟังดูน่าตกใจจนพูดไม่ออก “เพื่อบุรุษเพียงผู้เดียว เจ้าถึงขั้นไม่สนใจชีวิตของตน เจ้าชอบเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ เพื่อแต่งงานกับเขา แม้แต่ชีวิตก็ไม่เอาแล้วหรือ”
เฉิงหยวนจิ่งโกรธแล้ว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่จงใจปั้นหน้านิ่งทำให้นางกลัว แต่ครั้งนี้เป็นของจริง
เขายิ่งโกรธก็จะยิ่งสงบนิ่ง
เฉิงอวี๋จิ่นไม่ได้ตอบกลับอยู่ครู่ใหญ่ มือของนางยังอยู่ในฝ่ามือของเฉิงหยวนจิ่ง โดยไม่มีลางบอกเหตุ เฉิงอวี๋จิ่นกำหมัดพลิกมือมาจับง่ามนิ้วโป้งของเฉิงหยวนจิ่งเอาไว้
ดวงตาของนางเบิกโตไม่หลบไม่หลีก ไม่คิดว่าตนทำการล่วงเกินเลย เพียงมองตรงเข้าไปในดวงตาของเฉิงหยวนจิ่ง “ยามท่านอาเก้าคลอดออกมาก็ได้เป็นองค์ชายใหญ่ โอรสในฮองเฮา ห้าขวบก็ได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว ตั้งแต่เด็กอยากได้อะไรก็ได้ ทำอะไรได้อย่างเปิดเผย คงไม่หมายตาคนเช่นข้าที่คิดหาทุกทาง ใจคิดแต่จะเกาะผู้อื่นใช่หรือไม่”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่รอให้เฉิงหยวนจิ่งตอบก็พูดต่อไปเองว่า “ถ้าข้าเป็นชาย ข้าก็ไม่หมายตาเช่นกัน คิดจะมีชีวิตอย่างคนเหนือคน เช่นนั้นตนเองก็ต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เอาแต่คิดจะแต่งกับบุรุษที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ท่านคิดว่าข้าไม่รักชีวิตหรือ” เฉิงอวี๋จิ่นดวงตาใสราวกระจก รูปตางดงาม งามจับใจจนเหมือนตั้งใจลากเส้นวาดออกมา อยู่ใกล้กันเช่นนี้นางจ้องมองเฉิงหยวนจิ่ง เฉิงหยวนจิ่งยังสามารถมองเห็นเงาร่างของตนย่อเล็กอยู่ในนั้นได้
“ถ้าข้าเป็นบุรุษ ถ้าข้ามีทางเลือกอื่น ข้าจะทำเรื่องเช่นนี้หรือ ท่านคิดว่าการฝึกฝนท่าทางมารยาทง่ายกว่าการสอบขุนนางหรือ ฝึกท่าทางเดียวรอบแล้วรอบเล่า แต่ละก้าวต้องอยู่ในตำแหน่งพอเหมาะพอดี มันง่ายกว่าการจุดตะเกียงอ่านตำราตอนดึก ท่องตำราเขียนหนังสือหรือไร
ข้าท่องบทกวีได้เร็วกว่าพี่น้องทุกคน เขียนอักษรก็ไม่ด้อยกว่าเลย ถ้าข้าสามารถเข้าร่วมการสอบขุนนางได้ ข้าก็สามารถสงบใจเก็บตัวตั้งใจอ่านคัมภีร์ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน ข้าสามารถครุ่นคิดว่าจะทำให้ตนเองดีขึ้นได้อย่างไรเช่นกัน แต่ข้าไม่มีโอกาส”
เฉิงหยวนจิ่งมองนางโดยไม่พูดไม่จา เขาเห็นน้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น ทันใดนั้นก็ไหลลงมา
เฉิงหยวนจิ่งนิ้วกระตุกเบาๆ ราวกับถูกน้ำตาหยดนั้นลวก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยื่นมือไปทาบบนแก้มของเฉิงอวี๋จิ่น เหมือนกำลังแตะของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่เพียงสัมผัสก็แตก เช็ดน้ำตาของนางเบาๆ “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
* ยามเว่ย คือช่วงเวลา 13.00 น. ถึง 15.00 น.
* ต่อรองขอหนังจากพยัคฆ์ อุปมาว่าต้องการอยากได้ในสิ่งที่ขัดกับผลประโยชน์ของผู้อื่นที่มีกำลังเหนือกว่า ย่อมไม่สมหวัง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.