บทที่ 3
ภายในโถงหลัก เรือนส่วนหน้า สาวใช้ก้มหน้ายกน้ำชาเดินเข้ามา ท่านหญิงชิ่งฝูปั้นหน้าเครียด อดทนอยู่นาน แล้วพูดว่า “ฮั่วฮูหยิน การแต่งงานของบุตรสาวบุตรชายไม่ใช่เรื่องเล็ก ท่านคิดดีแล้วหรือ”
ฮั่วเซวียซื่อยิ้ม พูดว่า “ในเมื่อข้ามาพบท่านหญิงที่นี่ก็คงไม่ทำเรื่องที่ไม่มีหัวคิดอะไร คุณหนูใหญ่เป็นสตรีที่ดีมาก ท่านหญิงกับฮูหยินท่านโหวเลี้ยงนางมาได้เป็นอย่างดี ข้าเห็นก็ชอบเช่นกัน แต่เรื่องการแต่งงานของลูกๆ ต้องอาศัยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย เรื่องเช่นนี้ฝืนใจไม่ได้จริงๆ”
ท่านหญิงชิ่งฝูฟังแล้วมีไฟโทสะในใจ ยังพูดว่ายินยอมสองฝ่ายอีกหรือ ถุย! คิดว่าจวนอี๋ชุนโหวของพวกเราอยากจะแต่งกับฮั่วฉางยวนอย่างนั้นรึ!
ท่านหญิงชิ่งฝูบริภาษอยู่ในใจ ที่นางโกรธมิใช่เพราะบุตรสาวภายใต้ชื่อของนางถูกถอนหมั้น แต่เป็นเพราะการหมั้นหมายของเฉิงอวี๋จิ่นก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ยามนี้มาถอนหมั้น ไม่เท่ากับทำให้นางขายหน้าหรือ
ท่านหญิงชิ่งฝูโกรธก็ส่วนโกรธ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าฮั่วฉางยวนเป็นบุตรเขยที่หาได้ยากคนหนึ่ง กวาดตามองไปทั่วเมืองหลวง คุณชายจากตระกูลร่ำรวยที่มีทั้งชื่อเสียงและอำนาจคนอื่นๆ ตอนอายุเท่าฮั่วฉางยวนต่างเพิ่งจะย้ายออกมาจากเรือนส่วนใน รอบิดาอาศัยเส้นสายขอตำแหน่งขุนนางให้อยู่เลย คนอย่างฮั่วฉางยวนที่สร้างผลงานและได้รับแต่งตั้งเป็นโหวมีจำนวนน้อยมากจริงๆ
บิดาของฮั่วฉางยวน จิ้งหย่งโหวผู้เฒ่าตายจากการรบเมื่อรัชศกเจี้ยนอู่ปีที่เก้า ยามนั้นเกิดเรื่องบางอย่างกับสกุลฮั่ว มีคนคาดเดาความคิดของราชเลขาธิการหยางว่าอาศัยเหตุผลที่ซื่อจื่อฮั่วฉางยวนอายุยังน้อย เก็บบรรดาศักดิ์เอาไว้ไม่ยอมให้ฮั่วฉางยวนสืบทอดต่อ ในช่วงเวลานั้นจวนจิ้งหย่งโหวเป็นเปลือกที่ว่างเปล่า มีเพียงป้ายชื่อจวนโหวแต่ไม่มีผู้ควบคุมดูแล ไม่ว่าใครก็มาเหยียบย่ำได้
ฮั่วเซวียซื่อไม่เพียงเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว ยังมาเจอคนรังแกเช่นนี้อีก นางกัดฟันไม่ยอมก้มหัว ฝืนเลี้ยงบุตรชายอายุเจ็ดขวบจนเติบใหญ่ โชคดีที่ฮั่วฉางยวนเองก็ใจสู้ เขาอายุครบสิบหกปี ทางสำนักการพระราชวงศ์ยังคงไม่มีทีท่าจะคืนบรรดาศักดิ์ให้สกุลฮั่ว ฮั่วฉางยวนรู้ว่าเขาทำได้เพียงพึ่งพาตนเอง ดังนั้นจึงไม่สนใจฮั่วเซวียซื่อที่ร้องไห้ใจแทบขาด เข้าสู่สมรภูมิรบตอนอายุสิบเจ็ดปี
บังเอิญในปีเดียวกันนั้นคดีสกุลเซวียที่เก็บเงียบนานหลายปีคลี่คลายลง สกุลฮั่วได้ข่าวนี้จึงลองหยั่งเชิงยื่นฎีกาขอแต่งตั้งไปในวังหลวง แม้จะไม่มีสารตอบกลับ แต่ฎีกาก็ไม่ได้ถูกตีกลับ ฮั่วเซวียซื่อดีใจมาก รู้ว่าเรื่องบุตรชายจะได้บรรดาศักดิ์นั้นมีความหวังเกินครึ่งแล้ว
ฮั่วฉางยวนเองก็เป็นคนมีความสามารถโดดเด่น เขาเป็นทหารได้ปีที่สอง สร้างผลงานไว้ในสนามรบเข้าสู่สายตาของทุกคนอย่างเป็นทางการ จากนั้นเขาก็รบชนะต่อกันหลายศึก ฮ่องเต้ได้ยินข่าวก็ยินดีมาก เรียกพบฮั่วฉางยวนในงานฉลองชัยชนะด้วยตนเอง ฮ่องเต้เห็นฮั่วฉางยวนอายุไม่มากก็แปลกใจ สอบถามเขาว่าเหตุใดจึงมาเป็นทหาร ฮั่วฉางยวนเล่าเรื่องมารดาที่เป็นม่ายอยู่บ้าน ฮ่องเต้ไม่รู้คิดเห็นอย่างไร หลังจากฟังแล้วก็นิ่งเงียบอยู่นาน สุดท้ายถอนใจแล้วพูดว่า ‘สงสารหัวใจคนเป็นพ่อแม่ รัชทายาทของเราก็หายสาบสูญไปสิบกว่าปีแล้ว ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ คงจะอายุใกล้กันกับเจ้า’
ฮ่องเต้ถามอายุของฮั่วฉางยวน ยิ่งรู้สึกรันทดใจ ‘เพิ่งจะสิบแปดปี เขาอายุน้อยกว่าเจ้าหนึ่งปี เจ้ายังมีมารดาคอยปกป้องเช่นนี้ ส่วนเขาตัวคนเดียวอยู่ภายนอก ระหกระเหินอยู่ท่ามกลางผู้คน ไม่รู้ว่าจะได้รับความลำบากเพียงใด’
ฮ่องเต้พูดจบก็สะอื้นพูดอะไรไม่ออก ลุกออกจากงานไปก่อน หลังฮ่องเต้จากไปภายในตำหนักเงียบจนได้ยินแม้เสียงเข็มตก สุดท้ายเป็นราชเลขาธิการหยางยกจอกสุรา ทุกคนจึงปรับบรรยากาศให้ดีขึ้นได้อีกครั้ง
เรื่องในวังไม่มีผู้ใดกล้าวิจารณ์ แต่หลังจากฮ่องเต้ถามประโยคนั้นจบแล้ว วันรุ่งขึ้นก็มีขุนนางกรมพิธีการมาสอบถามฮั่วฉางยวนเรื่องที่เหตุใดจึงยังไม่ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ คนข้างบนเพียงแค่ถามไปหนึ่งประโยค ท่าทีของคนข้างล่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ช้ากรมพิธีการกับสำนักการพระราชวงศ์จึงบอกว่าเจ้าหน้าที่ละเลยหน้าที่ เดือนสิบจึงส่งป้ายเหล็กอักษรชาด* เป็นรางวัลมาให้ฮั่วฉางยวน
อายุสิบแปดปีสืบทอดตำแหน่งโหว ได้รับรางวัลจากฮ่องเต้ด้วยความสามารถของตนเอง อยู่ในกองทหารก็มีผลงานโดดเด่น ฮั่วฉางยวนมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงทันที จวนจิ้งหย่งโหวก็กลับขึ้นมาเป็นตระกูลขุนนางที่ทรงอำนาจใหม่ภายในเมืองหลวงเช่นกัน
ท่านหญิงชิ่งฝูต่อให้มีใจเอนเอียง แต่เมื่อคิดถึงบรรดาหลานชายในจวน รวมถึงบรรดาลูกหลานบ้านเดิมและบ้านย่าของตนเอง ยังคงยอมรับว่าคนเราไม่เหมือนกัน ฮั่วฉางยวนมีใจสู้มาก ฮั่วเซวียซื่อเลี้ยงบุตรชายคนหนึ่งมาได้ดีเพียงนี้ก็ไม่แปลกที่กล้าอวดดีเช่นนี้