ฮั่วฉางยวนไล่ตามเฉิงอวี๋จิ่นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยก้าวย่างอันเป็นระเบียบแต่เชื่องช้านั้น การจะไล่ตามนางง่ายดายอย่างมาก ฮั่วฉางยวนตะโกนเรียกจากด้านหลัง
เฉิงอวี๋จิ่นทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ไปสนใจ
ฮั่วฉางยวนทนไม่ไหว เข้าไปคว้าแขนของเฉิงอวี๋จิ่นเอาไว้ “หยุดนะ!”
เฉิงอวี๋จิ่นทนไม่ไหวเช่นกันหมุนตัวกลับไปตบเขาหนึ่งที “ปล่อยมือ!”
พอเฉิงอวี๋จิ่นลงมือ ฮั่วฉางยวนก็ตกตะลึง เขาคาดไม่ถึงเลยว่าจะมีสตรีใดกล้าตบเขา ทำให้เขาไม่ทันหลบ
น่าเสียดายที่เฉิงอวี๋จิ่นมีแรงจำกัด นางสะบัดมือที่เจ็บอย่างเสียดาย มือตบจนแดง แต่ไม่ได้ทำให้บุรุษสารเลวผู้นี้เปิดเผยโฉมหน้า ไม่เช่นนั้นคงจะทำลายเส้นทางขุนนางของเขาได้ เฉิงอวี๋จิ่นในใจเสียดายมาก
ฮั่วฉางยวนลูบมุมปากของตนเองอย่างไม่กล้าเชื่อ เขาโมโหอย่างมาก แต่โชคดีที่ยังรู้รักษาท่าที ไม่ได้ตบกลับไป เขามองเฉิงอวี๋จิ่นอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ทำไม ตอนนี้ไม่แสร้งทำแล้วหรือ”
“แสร้งทำอะไร ข้าเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนอี๋ชุนโหว งามสง่าสงบนิ่ง มีแต่คนชื่นชมมาหลายปี แม้แต่เหยียบมดตายสักตัวก็ไม่กล้า เป็นท่านโหวฮั่วที่เวลาเดินต้องระวังสักนิด ครั้งหน้าถ้าชนก้อนหินเข้าอีก ระวังหน้าจะร้าว ตัดเส้นทางขุนนางอีกครึ่งชีวิตของท่านแน่นอน”
“เจ้า!” ฮั่วฉางยวนโกรธเกรี้ยว เขาขมวดคิ้วมองเฉิงอวี๋จิ่น ไม่กล้าคิดเลยว่าบนโลกนี้ยังมีสตรีเช่นนี้อยู่ด้วย เขาพูดด้วยความกรุ่นโกรธว่า “ใช้วิธีเลวร้ายได้ชื่อเสียงมา เสแสร้งแกล้งทำ สตรีที่เหมือนอสรพิษอย่างเจ้า วันหน้าใครจะแต่งงานด้วย เสียดายหน้าตาอันงดงามของเจ้าแล้ว!”
เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะ “ขอบคุณท่านโหวที่เอ่ยชม ท่านโหวคงไม่เคยได้ยิน สตรียิ่งงดงามก็ยิ่งโกหกเก่งใช่หรือไม่ ท่านคิดว่าสตรีทุกคนในโลกนี้เหมือนน้องหญิงโม่ของท่านที่ไร้เดียงสา มีเมตตา อ่อนแอรังแกง่ายอย่างนั้นหรือ”
เฉิงอวี๋จิ่นพูดพลางกลอกตาขาว ไม่ปิดบังการดูถูกที่ตนเองมีต่อฮั่วฉางยวนเลย “เกรงว่าคงไม่ใช่คนโง่กระมัง”
“เจ้า!”
เฉิงอวี๋จิ่นไม่อยากเห็นหน้าคนโง่ผู้นี้อีก นางหันหน้ากลับอย่างเย็นชาก็เห็นคนขบวนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลออกไป
เฉิงอวี๋จิ่นกับฮั่วฉางยวนขวางอยู่ตรงทางเดินเพียงทางเดียวนั้นพอดี ผู้ที่มาหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าฟังอยู่นานเท่าใดแล้ว
เฉิงอวี๋จิ่นแอบตะโกนในใจว่าแย่แล้ว บนใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสง่างามในพริบตา ดวงตามองสำรวจคนในขบวนนั้นอย่างรวดเร็ว เช้าตรู่เช่นนี้พวกเขามาปรากฏตัวในจวนสกุลเฉิง ข้างกายไม่มีใครนำทาง คิดว่าคงเป็นญาติฝั่งบิดาของสกุลเฉิง คนเดินนำสวมชุดอี้ส่าน* สีแดง สวมเสื้อคลุมสีดำ ห้อยถุงป้ายตำแหน่งที่เอว รูปร่างสูงโปร่ง งามสง่าราวต้นสน
เฉิงอวี๋จิ่นเดิมทีคิดว่าเป็นคนบ้านตนเอง หากเป็นญาติสกุลเฉิง เช่นนั้นการเสียมารยาทเล็กน้อยของนางเมื่อครู่คงไม่ใหญ่โตอะไร แต่เมื่อนางเห็นชายหนุ่มผู้นี้ การคาดเดาเมื่อครู่กลับรู้สึกไม่มั่นใจแล้ว
ผู้ที่สวมชุดอี้ส่านสีแดงได้เช่นนี้จะต้องเป็นขุนนางในราชสำนัก และระดับขั้นไม่ต่ำอีกด้วย ตอนเช้ามีลมพัด พัดเอาหิมะยามกลางคืนลอยขึ้นมา ปลิวพลิ้วขาวไปทั่ว มองหน้าตาของเขาได้ไม่ชัดเจน ทว่าสามารถมั่นใจได้ว่าอายุของเขายังไม่มากนัก
อายุน้อยอยู่ตำแหน่งสูง สกุลเฉิงมีคนเช่นนี้ด้วยหรือ
ผู้ติดตามข้างกายชายหนุ่มกระแอมหนึ่งที ตั้งใจพูดเสียงดังว่า “นายท่านเก้า ท่านโหวผู้เฒ่ายังรอท่านอยู่นะขอรับ”
นายท่านเก้า?
เฉิงอวี๋จิ่นรู้กระจ่างในทันที ที่แท้เป็นเขาเอง! ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะอดทนมาพอแล้ว เขาจึงนำคนค่อยๆ เดินมาใกล้ สายตาไม่ได้มองมาที่ตัวเฉิงอวี๋จิ่นแม้แต่น้อย เฉิงอวี๋จิ่นปกติควบคุมสถานการณ์ได้ดี นางถอยหลังหนึ่งก้าวเปิดทางให้ พลิกข้อมือเล็กน้อยแล้วย่อตัวคารวะด้วยท่าทางที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ “คารวะท่านอาเก้า”