ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง บทที่ 3-บทที่ 4
“มารดาผู้ให้กำเนิดของเขาคือเสี่ยวเซวียซื่อ แม่ของฮั่วฉางยวนก็แซ่เซวียเช่นกัน” หากดูจากชื่อสกุล ไม่อาจตัดสินฐานะของเสี่ยวเซวียซื่อกับฮั่วเซวียซื่อได้ อย่างไรเสียความเป็นมาของทั้งสองคนนี้ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่เฉิงอวี๋จิ่นเคยผ่านช่วงเวลาชาติก่อนในความฝัน นางบังเอิญได้รู้ว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องญาติห่างๆ กันจริงๆ
เฉิงอวี๋จิ่นหมุนตัวเดินย้อนกลับทันที เหลียนเชี่ยวกับตู้รั่วมองหน้ากันแล้วรีบไล่ตามไป
ในเวลานี้เองเฉิงหยวนจิ่งก้าวเท้าข้ามธรณีประตูที่หรูหราที่สุดในจวนอี๋ชุนโหว ถอดเสื้อคลุมออก บ่าวรับมาแล้วพาดไว้บนเตากำยานละลายเกล็ดหิมะเสื้ออย่างตั้งใจ
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงฝืนลุกจากเตียงคนป่วย รีบเดินสองก้าวไปทางประตู เกือบจะหกล้ม เฉิงหยวนจิ่งตาเร็วมือไวประคองท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเอาไว้ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงยังไม่ทันพูดอะไรดวงตาก็มีน้ำรื้นแล้ว
เฉิงหยวนจิ่งเพียงแค่ยกมือขึ้น บ่าวไพร่ก็พากันทยอยเดินออกไป หลังจากภายในห้องไม่มีผู้ใดแล้ว ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงยืนขึ้นตัวสั่น งอเข่าจะคารวะเฉิงหยวนจิ่ง “รัชทายาท พระองค์เสด็จกลับมาแล้วหรือ”
เฉิงหยวนจิ่งประคองแขนของท่านโหวผู้เฒ่าเฉิง ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงอยากจะคุกเข่าลงหลายครั้งกลับถูกเขาพูดยับยั้งเอาไว้ “ท่านโหว เชิญลุกขึ้นเถอะ”
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงฝืนกลั้นน้ำตาไว้ เขาไม่ยอมนั่ง พูดว่า “กระหม่อมจะนั่งเสมอพระองค์ได้อย่างไร นี่ไม่เหมาะสมกับธรรมเนียม”
“ท่านโหวพูดตลกแล้ว จะมีธรรมเนียมอะไรกัน” เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะ แต่ในดวงตากลับเรียบเฉย “ท่านโหว ตอนนี้ข้าแซ่เฉิง ครั้งหน้าห้ามเรียกเช่นนี้อีก”
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงรีบรับปาก เขาไม่กล้าขัดความต้องการของเฉิงหยวนจิ่ง นั่งลงตรงข้ามกับเฉิงหยวนจิ่งช้าๆ ทว่าแม้จะนั่งอยู่ แต่ครึ่งตัวของเขากลับดูอ่อนแรง
“กระหม่อมขอบังอาจเรียกพระองค์ว่า ‘จิ่วหลาง’** ก็แล้วกัน”
เฉิงหยวนจิ่งผายมือส่งสัญญาณ “ท่านโหวเชิญตามสบาย”
“จิ่วหลาง ท่านอยู่ข้างนอกสถานการณ์เป็นไปด้วยดี เหตุใดจู่ๆ จึงกลับมา”
“ได้ยินว่าท่านป่วยหนัก ข้าที่เป็นเด็กรุ่นหลังจะสบายใจได้อย่างไร อีกอย่างข้าจะหลบอยู่ข้างนอกไปตลอดไม่ได้ ดังนั้นจึงย้ายกลับมาที่เมืองหลวง ปรนนิบัติท่านโหวพักฟื้นอย่างดี วันหน้าจะพักอยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงทั้งดีใจและทอดถอนใจ เฉิงหยวนจิ่งแม้จะเป็นโอรสของฮ่องเต้ แต่อย่างไรเสียก็เลี้ยงอยู่ภายใต้ชื่อของเขามาหลายปี จะไม่มีความผูกพันได้อย่างไร
ฤดูหนาวปีที่แล้วท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงป่วยหนัก หลังจากนั้นร่างกายก็ไม่เหมือนก่อน ระยะนี้ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงรู้สึกตลอดว่าเวลาของเขาใกล้หมดแล้ว เขาย้อนคิดถึงชีวิตของตนเอง เกิดในจวนโหวสูงศักดิ์ ตอนอายุน้อยมีชีวิตดีเยี่ยม แม้จะเจ็บปวดที่เสียคนรัก แต่ตอนอายุสามสิบปีโชคดีได้พบกับคนรักอีกครั้ง ครองคู่กันเป็นเวลานาน บั้นปลายชีวิตยังแบกความหวังของทั้งแคว้นเอาไว้ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่มีอะไรให้เสียดายอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ติดค้างในใจก็คือองค์รัชทายาทที่ปกปิดชื่อแซ่ อยู่ภายนอกตามลำพัง
ดังนั้นวันนี้เห็นเฉิงหยวนจิ่งกลับมา ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงรู้สึกดีใจอย่างมาก เขาเช็ดน้ำตาที่หางตา กุมมือของเฉิงหยวนจิ่งแล้วพูดว่า “กลับมาก็ดี…กลับมาก็ดี ท่านอยู่พักในเมืองหลวงให้ดี ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วก็ผ่อนคลายพระทัยลงได้”
เฉิงหยวนจิ่งหยุดนิ่งไปนาน จึงถามว่า “ฝ่าบาท…ระยะนี้พระวรกายดีหรือไม่”
“ฝ่าบาทพระวรกายดีทุกอย่าง แค่เพียงไม่มีท่านอยู่เบื้องพระพักตร์ ทรงได้พบท่านในการสอบเตี้ยนซื่อ* ครั้งนั้นไม่ง่ายนัก เพียงพริบตาท่านก็ไปรับตำแหน่งนอกเมืองแล้ว ฝ่าบาทในพระทัยเป็นห่วง ในงานฉลองชายแดนครั้งก่อน ฝ่าบาททอดพระเนตรชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อายุใกล้กับท่าน ยังสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ด้วย”
พูดถึงฮ่องเต้ เฉิงหยวนจิ่งก็นิ่งเงียบอยู่นาน ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงถอนหายใจ พูดช้าๆ ว่า “จิ่วหลาง กระหม่อมรู้ว่าท่านได้รับความลำบากมากมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่เป็นเชื้อพระวงศ์แต่กลับต้องแบกรับชื่อว่าเป็นลูกนอกสมรส ทว่าฝ่าบาทก็มีความทุกข์เช่นกัน ตอนนี้หยางไทเฮายังทรงแข็งแรงอยู่ หยางฝู่เฉิงกุมอำนาจในราชสำนัก ในตำหนักในหยางฮองเฮาประทับอยู่ทุกวัน ฝ่าบาทใช่ว่าจะไม่ทรงอยากรับท่านกลับมา แต่ว่า…ทรงทำไม่ได้”
“ข้ารู้” เฉิงหยวนจิ่งเลื่อนสายตากลับมาแล้วยิ้มอย่างสงบนิ่งและเรียบเฉย “ข้าย่อมรู้ว่าฝ่าบาททรงผ่านมาอย่างไม่ง่ายนัก ข้าเป็นขุนนางก็ควรแบ่งเบาความไม่สบายพระทัยของพระองค์”
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเห็นภาพนี้แล้วในใจมีความรู้สึกเศร้าใจที่พูดไม่ออก เขายังอยากจะพูดปลอบ แต่เห็นสีหน้าของเฉิงหยวนจิ่งแล้ว เขาก็ยั้งปากไว้ บนใบหน้าของเฉิงหยวนจิ่งไม่ได้แสดงความดุดัน โกรธเกรี้ยว อยู่นอกเมืองมาสามปี เขามีความสุขุมนุ่มลึกยิ่งขึ้น ไม่แสดงความรู้สึกออกมา ทว่าสิ่งนี้ช่วยเสริมบารมีของเขาได้มากขึ้น
ตัดสินใจเด็ดขาด มีความลึกล้ำยากจะคาดเดาได้
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงคิดว่าเฉิงหยวนจิ่งมีบารมีของคนที่เป็นผู้นำมากขึ้นแล้ว หากนี่เป็นลูกหลานสกุลเฉิงของพวกเขาจริง ต่อให้ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงตายไปตอนนี้ก็สบายใจแล้ว น่าเสียดายสกุลเฉิงของพวกเขาจะมีวาสนานี้ได้อย่างไร คนเขามิใช่แซ่เฉิง ชื่อตัวก็ไม่ใช่เฉิงหยวนจิ่ง
เขาคือหลี่เฉิงจิ่ง องค์รัชทายาทที่หายสาบสูญไปสิบสี่ปี
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงอยู่ในราชสำนักมาหลายปี ความสามารถในการจับคำพูดสังเกตสีหน้ายังคงอยู่ เขาเห็นท่าทางเฉิงหยวนจิ่งไม่อยากพูดถึงฮ่องเต้มากนัก จึงค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องพูด ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเอ่ยว่า “จิ่วหลาง ท่านจากไปครั้งนี้นานสามปี วันเทศกาลก็กลับมาไม่ได้ ฉวยโอกาสตอนนี้เพิ่งกลับเมืองหลวง คำสั่งโยกย้ายของกรมปกครองยังไม่ลงมา ท่านก็พักผ่อนในบ้านให้มากสักสามสี่วันเถอะ ท่านอาจจะยังไม่เคยเห็น เด็กรุ่นหลังหลายคนในสกุลเฉิงต่างเติบโตกันหมดแล้ว”
เฉิงหยวนจิ่งนึกถึงฉากที่ได้เห็นตรงระเบียงทางเดินเมื่อครู่ขึ้นมาทันใด