บทที่ 10
ข่าวเฉิงหยวนจิ่งกลับเมืองหลวงไม่รู้ว่าลือไปถึงจวนชางกั๋วกง* ได้อย่างไร เพียงไม่กี่วันบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วอย่างเฉิงหมิ่นก็นำลูกๆ กลับมาที่จวน
ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงมีบุตรชายสามหญิงหนึ่ง ในจำนวนนั้นบุตรชายคนโต บุตรชายคนรองและบุตรสาวคนเดียวเป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงปฏิบัติต่อบุตรชายสองคนแบบทั่วไป แต่รักเอ็นดูบุตรสาวคนนี้มาก
เฉิงหมิ่นได้รับเสื้อผ้างดงามอาหารชั้นเลิศมาตั้งแต่เด็ก นางก็เหมือนคนสกุลเฉิงคนอื่นๆ รูปโฉมไม่เลว ดังนั้นเมื่อถึงวัยออกเรือนจึงหมั้นหมายให้แก่จวนชางกั๋วกง เป็นขุนนางมีความชอบเช่นเดียวกัน แต่จวนโหวกับจวนกั๋วกงนั้นแตกต่างกันมาก ภายในเมืองหลวงมีบรรดาศักดิ์โหวเกลื่อนกลาด แต่จวนโหวที่พอมีชื่อเสียงมีเพียงไม่กี่จวนเท่านั้น
จวนชางกั๋วกงเคาะระฆังก็มีจานอาหารสามขาเรียงราย** ร่ำรวยมาหลายรุ่นแล้ว ตระกูลมีความยิ่งใหญ่ มีญาติแตกสายไปไม่รู้มากเท่าใด เฉิงหมิ่นแต่งให้กับคุณชายรองจวนชางกั๋วกง น้องชายร่วมอุทรของชางกั๋วกงคนปัจจุบัน ด้วยเบื้องลึกครอบครัวของจวนอี๋ชุนโหว นับว่าแต่งกับผู้มีฐานะสูงกว่าแล้ว
เพราะบุตรสาวคนโปรดกลับจวน บรรยากาศจึงคึกคักมาก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดบ่นตั้งแต่เช้า ท่านหญิงชิ่งฝูมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา กลัวว่าจะทำอะไรไม่เหมาะสม ล่วงเกินน้องหญิงผู้นี้ก็ถือเป็นการล่วงเกินแม่สามีเช่นกัน
เฉิงอวี๋จิ่นเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ในการพบแขกของตนเองแต่เช้า นางสวมเสื้อนวมหนาเสื้อผ่ากลางสีแดง กระโปรงจีบผ้าสี่แถบ เพราะยังไม่ได้ออกเรือน บนผมจะแต่งมากเกินไปมิได้ นางจึงปักปิ่นเงินชุบทองฉลุลายคู่หนึ่ง ปลายปิ่นฝังหยกสีขาวและสีแดงเป็นรูปผีเสื้อเกาะดอกไม้ ด้ามปิ่นฝังพลอยแดงโปร่งใสงดงามเม็ดหนึ่ง อีกอันปักไว้ที่ยอดมวยผม มีลายแบบเดียวกัน แต่สลับตำแหน่งสีแดงขาวเท่านั้น เฉิงอวี๋จิ่นเปลี่ยนมาสวมชุดนี้แล้วประหนึ่งรูปทองเนื้อหยก งดงามราวภาพวาดจริงๆ
เฉิงอวี๋จิ่นไปคารวะท่านอาหญิง
เฉิงหมิ่นกลับบ้านเกิดในครั้งนี้พาลูกๆ ในเรือนตนเองกลับมาด้วย เด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่มารวมตัวกันในห้อง อยู่ไกลๆ ก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานได้ สาวใช้หน้าประตูรายงานว่า “คุณหนูใหญ่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงหมิ่นหันหน้าไป เห็นหญิงสาวที่เดินเข้าประตูมาผู้นั้นแล้วดวงตาก็เปล่งประกาย
เฉิงอวี๋จิ่นเข้ามาคารวะเฉิงหมิ่น เสียงพูดไม่ช้าไม่เร็ว กิริยาตอนคารวะก็ถูกต้องตามรูปแบบอย่างยิ่ง ตอนย่อตัวลงชายกระโปรงจนถึงปิ่นบนศีรษะไม่ได้แกว่งไกวแม้แต่น้อย เฉิงหมิ่นเห็นแล้วชื่นชมอย่างมาก นางหันไปพูดกับท่านหญิงชิ่งฝูว่า “พี่สะใภ้สอนบุตรสาวอย่างไร ข้าเห็นแล้วอิจฉาแทบตาย ถ้าบุตรสาวบ้านข้ารู้ความได้ครึ่งหนึ่งของจิ่นเจี่ยเอ๋อร์* ต่อให้ข้าอายุสั้นหลายปีก็ยินดี”
ท่านหญิงชิ่งฝูยิ้มพูดปฏิเสธโดยอ้อม
สวีเนี่ยนชุนผู้ที่เฉิงหมิ่นใช้เป็นตัวเปรียบเทียบแค่นเสียงสบถไม่พอใจ ยู่ปากแล้วพูดว่า “ท่านแม่เอาแต่ว่าข้า ถ้าท่านชอบพี่หญิงจิ่นมากเพียงนี้ มิสู่รับนางกลับไปเป็นบุตรสาวเลยแล้วกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงหัวเราะเสียงดัง ชี้ไปที่สวีเนี่ยนชุนแล้วพูดกับคนอื่นว่า “ดูสิ ยังเป็นเด็กที่ช่างแง่งอนด้วย”
เฉิงหมิ่นหยิกสวีเนี่ยนชุนอย่างอารมณ์เสีย พูดด่าว่า “เจ้านี่พูดมาก เจ้าไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก แม่อยากจะแย่งตัวพี่หญิงจิ่นของเจ้ากลับไปเป็นบุตรสาวจะแย่ กลัวแต่ป้าใหญ่ของเจ้าจะไม่ยอมน่ะสิ”
ท่านหญิงชิ่งฝูพูดด้วยรอยยิ้ม “นางได้รับความสำคัญจากน้องหญิงถือเป็นวาสนาของนาง ตามความคิดข้า เนี่ยนชุนร่าเริงน่ารัก ข้ายินดีมากที่จะมีบุตรสาวเช่นนี้เพิ่มอีกหนึ่งคน”
สวีเนี่ยนชุนรีบวิ่งไปออดอ้อนข้างกายท่านหญิงชิ่งฝูทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถูกภาพฉากนี้ทำให้หัวเราะจนหุบปากไม่ลง สตรีคนอื่นๆ เองก็ยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะเช่นกัน ภายในหอโซ่วอันมีความสุขสนุกสนานในพริบตา
เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะตามไปด้วยเช่นกัน แต่นางเห็นฉากนี้แล้วรู้สึกปวดในใจขึ้นมา สวีเนี่ยนชุนสามารถต่อปากต่อคำกับท่านอาหญิงได้ตามอำเภอใจ วิ่งไปออดอ้อนกับท่านหญิงชิ่งฝู เฉิงอวี๋โม่ก็หัวเราะอยู่ในอ้อมกอดของหร่วนซื่อเช่นกัน
แล้วข้าเล่า
ความครึกครื้นเต็มหอ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เฉิงอวี๋จิ่นก็ไม่สามารถแสดงความผิดหวังได้แม้แต่น้อย ยังคงต้องหัวเราะสนุกสนานกับทุกคน ประจบเอาใจทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงชอบใจ
เฉิงหมิ่นหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก็หันหน้าไป เห็นเฉิงอวี๋จิ่นยืนอยู่กลางห้องอุ่น* อันงดงาม หัวเราะเบาๆ มองทุกคนอยู่
เฉิงหมิ่นไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรขึ้นมา ตอนนี้นางมองสำรวจเฉิงอวี๋จิ่นอย่างละเอียด พบว่าหลานสาวของตนเองคนนี้รูปโฉมงดงามอย่างน่าประหลาด เสื้อผ้าสีแดง เครื่องประดับก็มีทั้งทองและพลอยแดง หากเป็นผู้อื่นไม่รู้ว่าจะดูไร้รสนิยมเพียงใด แต่เมื่อสวมอยู่บนตัวของเฉิงอวี๋จิ่นกลับดูสดใสพอดิบพอดีราวกับอัญมณีล้ำค่าที่สุดบนโลกนี้ควรจะประดับบนตัวเฉิงอวี๋จิ่น