“จินเจิ้ง ไปต้มน้ำร้อนมาถังหนึ่ง เร็ว ยิ่งเร็วยิ่งดี!”
ได้ยินเสียงตวาดอย่างโมโหที่ข้างหู เรียกสติของเถาเม่ยเอ๋อร์ให้ค่อยๆ กลับมา
นางอยากจะเปิดปากต่อว่าเขาว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทว่าพลันมีสิ่งแปลกปลอมถูกยัดเข้ามาในปาก เขาประคองปลายคางของนางเอาไว้ไม่ให้คายออก ความรู้สึกเย็นสดชื่นลื่นไหลลงสู่ท้อง นางค่อยๆ รู้สึกกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
“หลินจื่อเฟิง หากเจ้ายังมีเรี่ยวแรงอยู่ก็ช่วยไปเชิญท่านลุงสวีมาที!”
“หุบปาก!” เสียงที่เกือบเป็นคำรามของเขาทำลายความคิดทั้งหมดของนาง ทำให้นางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เงาร่างสีขาวตรงหน้าราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิอันใสกระจ่างที่กำลังไหลรินอย่างเงียบงัน กลิ่นหอมมอมเมาผู้คนโชยมา ไม่รู้ว่าเขาหยิบขวดน้ำเต้าหยกขาวมาจากที่ใด เขาเทยาลูกกลอนออกมาหนึ่งเม็ดแล้วบดเป็นผงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเป่าเข้าจมูกสือรุ่ยเซียงไป เห็นเพียงสือรุ่ยเซียงส่งเสียงครางแผ่วเบาก่อนลืมตาขึ้น
แต่ในตอนที่สือรุ่ยเซียงได้เห็นว่าคนที่ตนมองสบตาด้วยนั้นเป็นบุรุษแปลกหน้าตัวเป็นๆ ผู้หนึ่งก็อดร้องเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ “สวรรค์ เจ้าเป็นใคร!”
“อย่าขยับ!”
เสียงเตือนอย่างเข้มงวดของหลินจื่อเฟิงทำให้เถาเม่ยเอ๋อร์หวาดหวั่น เมื่อนางหันหน้ากลับไปอีกครั้งก็เห็นใบหน้าสือรุ่ยเซียงแดงระเรื่อประดุจตื่นจากฝัน ก่อนจะร้องเสียงดังออกมาแล้วหมดสติไปอีกครั้ง
“เจ้า…เข้ามาได้อย่างไร” เถาเม่ยเอ๋อร์ถามด้วยความมึนงง การบุกรุกเข้ามาอย่างบุ่มบ่ามของเขาทำลายกฎข้อห้ามของสือรุ่ยเซียง ผิวเปลือยเปล่าขาวเนียนลื่นดุจหยกเปิดเผยต่อหน้าหลินจื่อเฟิงแล้ว
“น้ำเดือดแล้วขอรับ” เสียงจินเจิ้งดังมาจากด้านนอกประตู
“เทน้ำร้อนลงไปในถังไม้ แล้ววางไว้ในห้องด้านใน”
หลินจื่อเฟิงกลับไม่ได้สนใจเถาเม่ยเอ๋อร์ เสียงแควกดังขึ้น ชายเสื้อของเขาถูกฉีกออกมามุมหนึ่ง ก่อนฉีกเป็นผ้ายาวสองเส้นอีกครั้ง แล้วนำไปรัดบริเวณข้อเท้าและแขนของสือรุ่ยเซียงจนแน่น เขาถอดเสื้อคลุมสีขาวออกมาห่อร่างกายของสือรุ่ยเซียง จากนั้นวางร่างนางลงไปในถังไม้อย่างแผ่วเบา
“เจ้าจะทำอะไร” เถาเม่ยเอ๋อร์ถามเสียงสั่น หลินจื่อเฟิงผู้นี้ทำตัวลึกลับเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวต่อหน้านางอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขามิใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเซียนจากเกาะกลางสมุทรมาชี้แนะทางสว่างให้แก่ผู้โง่เขลา
หลินจื่อเฟิงไม่ได้สนใจ เพียงแค่ก้มหน้าลงแค่นเสียงกล่าว “ผู้เป็นหมอควรมีใจประดุจบิดามารดา หากสนใจแต่ความแตกต่างของบุรุษสตรี กระทั่งไม่มีใจประดุจบิดามารดาแล้วล่ะก็ จะยังเป็นหมอได้อย่างไร”
เถาเม่ยเอ๋อร์นิ่งอึ้งไร้วาจา
เห็นเพียงเขาหยิบขวดใบหนึ่งออกมาแล้วเทผงสีขาวจำนวนหนึ่งใส่ลงไปในถังไม้
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
“ไปเอาเข็มเงินของเจ้ามา ไม่ต้องบอกให้ข้าไปเชิญสองพ่อลูกสกุลสวีมาอีก”
แสงเทียนสะท้อนเป็นเงารูปร่างประหลาดบนผนัง กลิ่นหอมบนร่างหลินจื่อเฟิงเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เงาที่วูบไหวไปมาแฝงความงามอันแปลกพิลึกพิลั่น
เข็มเงินยาวเล่มหนึ่งปักลงไปยังจุดไป่ฮุ่ยของสือรุ่ยเซียง ทว่าเถาเม่ยเอ๋อร์กลั้นลมหายใจดูอยู่นานก็ยังไม่เห็นว่าสือรุ่ยเซียงจะเคลื่อนไหว
หลินจื่อเฟิงเทผงสีเทาจำนวนหนึ่งลงไปในน้ำ ท่ามกลางไอน้ำคล้ายเห็นความอ่อนโยนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของเขา กลิ่นหอมนั้นคล้ายกับเห็ดหอมที่ขึ้นตามซอกหิน ภายในหนึ่งร้อยย่างก้าวหอมขจรไร้สิ่งใดเทียบเทียม เมื่อได้สูดดมอย่างตั้งใจแล้วก็อดชื่นชมออกมาจากใจไม่ได้ กระนั้นเถาเม่ยเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน
ในหมู่ชาวบ้านต่างก็ยกให้เห็ดหอมนี้เป็นอาหารเลิศรส ยกย่องเป็นของชั้นสูง มีไว้เพื่อต้อนรับแขกโดยเฉพาะ ทว่าเถาเม่ยเอ๋อร์ยังคงไม่อยากจะเชื่อว่านี่จะเป็นสมุนไพรล้ำค่าตัวนั้นจริงๆ
สือรุ่ยเซียงมีเหงื่อหลั่งริน ขนตางามขยับไหวน้อยๆ หลับใหลหมดสติประหนึ่งหยกแกะสลัก ร่างกายเถาเม่ยเอ๋อร์ผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด นางค่อยๆ รู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นหอมที่แผ่กระจายอบอวลอยู่ทั่วห้อง
หลินจื่อเฟิง เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ นางอยากถามเขาว่าเหตุใดจึงไปเข้าร่วมกับพวกโจร ราวกับภาพมายาทะลักขึ้นมาในความเงียบงัน ซึ่งภาพตรงหน้านี้ไม่มีทั้งความมืดยามราตรีและแสงสว่างยามอรุณ มีเพียงกลิ่นเห็ดหอมที่แผ่กำจายไปทั่วทุกหนแห่งเท่านั้น
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.ย. 62)