ถ้อยคำยังกล่าวไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงสวีเทียนหลินดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง “ไม่! เม่ยเอ๋อร์ เจ้าจะละทิ้งสายสัมพันธ์ระหว่างเราไปโดยง่ายเช่นนี้จริงๆ หรือ เจ้าเป็นคนไร้น้ำใจไร้คุณธรรมเช่นนี้หรือ!”
เถาเม่ยเอ๋อร์ปิดดวงตาที่ชุ่มน้ำของตนก่อนกล่าวอย่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว “นี่เป็นบทลงโทษที่สวรรค์มอบให้สกุลเถาของพวกเรา พวกเราก็ควรจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อลบล้างความผิด นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำได้ ขอโทษด้วย”
สวีเทียนหลินพยายามพุ่งเข้าไปหานาง ทว่ากลับถูกหลินจื่อเฟิงขัดขวางเอาไว้อย่างง่ายดายจนต้องขยับถอยออกไปหลายก้าว เขาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าก่อนพยายามดิ้นรนดูอีกครั้ง
ได้ยินเสียงดังกังวานขึ้นอีกหน ครั้งนี้เป็นสวีลี่คังที่ลงมือตีบุตรชายด้วยตนเอง
“ท่านพ่อ ท่านเองก็ตีข้า?”
“ใช่ ข้าตีเจ้า! ลูกชาย เจ้าช่างเลอะเลือนยิ่งนัก! สรรพสิ่งในใต้หล้ามีเติบโตมีถดถอย ทุกสิ่งล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว ไม่อาจฝืนบังคับได้!”
สวีเทียนหลินนิ่งอึ้ง หยาดน้ำตาหลั่งริน เขาก้าวถอยไปข้างหลังอย่างห้ามไม่อยู่
“ท่านลุง เชิญพวกท่านกลับไปพักผ่อนเถิด เม่ยเอ๋อร์ยังมีเรื่องที่จะต้องสนทนากับหลินจื่อเฟิงเจ้าค่ะ”
สวีลี่คังผงกศีรษะ เขาประคองบุตรชาย ก่อนทอดถอนใจกล่าวกับเถาเม่ยเอ๋อร์ “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถจัดการปัญหาของสกุลเถาได้อย่างเรียบร้อย”
เถาเม่ยเอ๋อร์มองส่งสองพ่อลูกสกุลสวีจากไปแล้วถึงได้หันหน้ากลับมากล่าวกับหลินจื่อเฟิงที่ยืนนิ่งเงียบไม่พูดจา “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่แค่คนเดียว”
“ทำไมเล่า เจ้าคิดว่าข้าหลินจื่อเฟิงมาเยี่ยมเยียนคู่หมั้นของตนเองยังต้องพาพี่น้องมาด้วยอีกหรือ ข้าหลินจื่อเฟิงเป็นบุรุษผู้หนึ่ง แม้จะคลุกคลีอยู่ในป่าเขา แต่ก็ไม่เคยกระทำเรื่องที่ผิดต่อคุณธรรม!”
เถาเม่ยเอ๋อร์มองสบตากับเขาอย่างเคร่งขรึม ในดวงตาของบุรุษผู้นี้ไม่หลงเหลือความเคียดแค้นที่ไม่อาจเลิกราอีก หากกลับกลายเป็นสายตาที่กำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างแทน
“เช่นนั้นข้าขอให้เจ้าปล่อยพี่ชายของข้าไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้เจตนา หากเจ้ามีความแค้นก็ขอให้เอามาลงที่ข้า!”
“หืม?” หลินจื่อเฟิงนิ่งเงียบไปสักพักก่อนกล่าว “ได้ แต่เจ้าเองก็ต้องรับปากข้าหนึ่งเงื่อนไข!”
“ข้ายังมีสิทธิ์ต่อรองกับเจ้าได้อีกหรือ เชิญกล่าวมาได้เต็มที่”
“นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าจะมาอาศัยอยู่ที่ร้านไป่เฉ่า ทุกเรื่องภายในร้านไป่เฉ่าจะต้องฟังคำสั่งจากข้า”
“หลินจื่อเฟิง เจ้าจะมาซ้ำเติมข้า ทำให้ข้าขายหน้า หรือคิดจะมาทำการกุศลกันแน่?” เถาเม่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าในหัวใจมีโลหิตเดือดพล่านจนแทบกระอักออกมาจากปาก นางจึงกัดฟันกล่าว
“นั่นก็แล้วแต่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร แต่เจ้าไม่รู้สึกว่าพวกเราต่างก็เป็นผู้ที่ประสบเคราะห์เหมือนกันหรอกหรือ” หลินจื่อเฟิงลอบสูดลมหายใจ ตระหนักว่าการเสแสร้งของตนกำลังถูกสตรีตรงหน้าทำลายลงไปทีละน้อย หัวใจที่ปิดตายเพราะความแค้นเคืองกำลังค่อยๆ หลอมละลายลงด้วยกลิ่นหอมของยาและความอบอุ่นที่ตลบอบอวลอยู่ภายในร้านไป่เฉ่า
เถาเม่ยเอ๋อร์สัมผัสได้ว่าสติการรับรู้ของตนเองกำลังเลือนรางลงไปช้าๆ นึกไม่ถึงว่าร่างกายจะไม่อาจทนรับความจริงอันโหดร้ายรุนแรงดุจพายุฝนโหมกระหน่ำเช่นนี้ได้อีกต่อไป ภาพตรงหน้าพลันแตกเป็นประกายระยิบระยับ ความมืดมิดหนักอึ้งทาบทับลงมาราวกับผ้าม่านผืนใหญ่