ในตอนที่กำลังก้มหน้าครุ่นคิดขณะที่เข้ามาในห้องโถงหลักของร้านไป่เฉ่า เถาเม่ยเอ๋อร์ก็เดินชนเข้ากับ ‘กำแพงขาว’ กำแพงหนึ่ง ก่อนที่กำแพงขาวนั้นจะขยับเคลื่อนไหวเข้ามาประชิดนาง
ลมหายใจของหลินจื่อเฟิงแผ่พลังของบุรุษเพศออกมา กลิ่นอายนั้นเป็นความเผด็จการที่เขามีมาแต่กำเนิด สีหน้าเขากรุ่นโกรธ ขวางทางเดินของนางดุจทิวเขาอันสลับซับซ้อน
“เจ้าไปที่ใดมา”
“ไปเยี่ยมท่านป้าสวีที่บ้านสกุลสวี!”
เถาเม่ยเอ๋อร์คิดผลักเขาออก ทว่าสุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าความอ่อนโยนและความบอบบางของสตรีไม่อาจสู้กับกำลังของบุรุษได้จริงๆ หากสตรีผู้หนึ่งสามารถเอาชนะความทะนงตนของบุรุษผู้หนึ่งได้ เกรงว่าบุรุษผู้นั้นคงจะทุ่มเทใจให้สตรีผู้นั้นอย่างถึงที่สุด นางรู้ว่าตนเองเป็นเพียงเครื่องสังเวยที่มีไว้ระบายความแค้นของเขา เป็นผู้ที่ไม่มีวันชำระล้างความผิดได้หมดสิ้น…นางเป็นได้เพียงแค่นี้เท่านั้น
“จริงหรือ” เขาขมวดคิ้วก่อนจะแค่นเสียง “ข้าว่าเจ้ามีความคิดอื่นเสียมากกว่า ไปหาเขามาหรือ”
เถาเม่ยเอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างผิดหวัง “หลินจื่อเฟิง มีอะไรก็กล่าวมาตามตรงเถอะ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว ก็คงยากจะแก้ปมในใจเจ้า มิสู้กล่าวทีเดียวให้เด็ดขาดไปเลย!”
“เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นผู้มีความกล้าเหนือผู้อื่น ยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้แม้จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง ช่างชวนให้ผู้คนต้องมองดูเจ้าใหม่โดยแท้!” หลินจื่อเฟิงกล่าวพร้อมขยับประชิดใบหน้านางมากขึ้น กลิ่นหอมที่ดึงดูดผู้คนนั้นซึมซาบเข้าไปในจมูกนางอีกครั้ง
“เป็นสกุลเถาที่ล่วงเกินเจ้า หาใช่สกุลสวี เหตุใดจึงต้องสร้างปัญหาให้สกุลสวีด้วย”
“ในเมื่อเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า เจ้าก็ต้องรู้จักสำรวม นับจากวันนี้ร้านไป่เฉ่ากับโรงหมอจี้ซื่อไม่มีวันไปมาหาสู่กันอีก จำได้แล้วใช่หรือไม่”
“หลินจื่อเฟิง แม้ข้าเถาเม่ยเอ๋อร์จะมอบคำสัญญาให้เจ้าแล้ว แต่หากเจ้าบีบบังคับกันมากเกินไป ข้าก็แค่ชดใช้อีกหนึ่งชีวิตให้เจ้าเท่านั้น ภายในร้านไป่เฉ่านี้ ข้ายังคงเป็นบุตรสาวสกุลเถาอยู่!” นางผลัก ‘กำแพงขาว’ ตรงหน้าออกไป คิดเพียงอยากไปค้นดูตะกร้าสานที่บรรจุกันเฉ่าตะกร้านั้น
“เม่ยเอ๋อร์ ข้าคือสามีในอนาคตของเจ้า เจ้าจะต้องเชื่อฟังข้าตามธรรมเนียมปฏิบัติ!” เสียงของหลินจื่อเฟิงก้องกังวานประดุจเสียงของอสนีบาต ส่งผลให้เปลือกตาเถาเม่ยเอ๋อร์กระตุกทันที
ในใจนางเต็มไปด้วยความรู้สึกสลับซับซ้อน เมื่อได้กลิ่นหอมที่แผ่กำจายออกมาช้าๆ จากร่างเขาก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “สิ่งใดบนร่างเจ้าที่ส่งกลิ่นหอมเช่นนี้ ข้าคล้ายจะไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน”
“หืม?” เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมคล้ายต้องการมองนางให้ทะลุปรุโปร่ง หลังผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายลงพร้อมเหยียดยิ้มออกมา “หากอยากรู้ว่านั่นเป็นกลิ่นหอมอะไร เจ้าก็รับปากเงื่อนไขของข้าเสีย”
เถาเม่ยเอ๋อร์พยายามข่มความอยากรู้อยากเห็นของตนเองเอาไว้ มองตอบเขากลับไปด้วยแววตาที่หนักแน่นชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยเก็บดวงตางดงามคู่นี้ให้กลายเป็นดวงดาวที่ไม่สะดุดตาอยู่ภายใต้แสงจันทร์
นางหมุนกายแล้วตะโกนออกไปข้างนอก “จินเจิ้ง นำสมุนไพรที่เถ้าแก่หอจวี้หม่านต้องการไปส่งด้วย!”
“มาแล้วขอรับ ให้แบ่งออกเป็นห่อเล็กๆ หรือว่ารวมเป็นห่อใหญ่เลยขอรับ” จินเจิ้งถาม
“นี่เป็นตำรับยาที่ทำให้คนไข้ขับเหงื่อ ต้องใส่เรียงตามลำดับลงไปจึงจะดี แน่นอนว่าต้องแบ่งเป็นห่อ ตอนนี้อากาศร้อนแล้ว ยาที่ต้มให้คนไข้ไม่อาจทิ้งไว้ได้นาน การแบ่งครั้งต้มจะดีกว่า”
“ขอรับ ข้าขอตัวก่อน” จินเจิ้งตอบรับ จากนั้นก็เดินออกจากประตูไป
เถาเม่ยเอ๋อร์ไม่สนใจมองหลินจื่อเฟิงอีกแม้สักครั้งเดียว นางห่อยาลูกกลอนที่ทำออกมาจนเสร็จเรียบร้อยถึงได้เดินเข้าไปในห้องด้านใน
หลินจื่อเฟิงมองหญิงงามผู้มีเหงื่อหลั่งรินเดินหายไปต่อหน้าโดยไม่ละสายตา ภายในใจพลันวูบโหวงเล็กน้อย
ขณะที่เถาเม่ยเอ๋อร์ยังคงเหม่อลอย ทั้งที่บุรุษผู้นั้นเป็นโจรภูเขาผู้มีความแค้น ทว่ากลับทำให้ผู้คนมักหลงลืมฐานะของเขา เขาเป็นคนเช่นไรกันแน่นะ ด้วยเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ดังนั้นแม้จะยังไม่ถึงเวลาพักผ่อนตามปกติ นางก็เผลอหลับตาลงไปโดยไม่รู้ตัว