เถาเม่ยเอ๋อร์ส่ายศีรษะและถอนหายใจ ภายในเมืองเจี้ยนคังสูญเสียการใช้ชีวิตที่เคยมีอยู่เดิมไปแล้ว หัวใจราษฎรหวาดหวั่น เกี้ยวประดับประดางดงามของเหล่าขุนนาง วันเวลาแสนสุขร่ำสุราร่ายกวีไม่มีทางกลับมาได้อีก
“ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเราต้องรักษาความทะนงตนเอาไว้ ขอเพียงยังหยิ่งทะนงก็ยังมีความหวัง” วาจาของเถาเม่ยเอ๋อร์แฝงความนัยลึกซึ้ง
หลินจื่อเฟิงใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ สายตาค่อยๆ เคลื่อนไปยังสตรีที่เขารัก นัยน์ตาของนางดุจผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ตรงสุดปลายขอบฟ้าสะอาดใสกระจ่าง ไม่มีความโสมมแม้เศษเสี้ยว
หากไม่ได้พบนางในวันนั้น บางทีเขาคงไม่เปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิม เขาละวางความแค้นเพื่อสตรีแปลกหน้าผู้หนึ่ง เพียงเพราะในยามที่นางตกอยู่ในอันตราย นางไม่ร้อนรนไม่สับสนเลยสักนิด ทั้งยังอาศัยร่างกายบอบบางและสติปัญญาของตนเองพยายามแก้ไขสถานการณ์อย่างสุดความสามารถ ความทะนงตนนี้มีมากเสียยิ่งกว่าบุรุษ ชวนให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใส
“ท่านหมอหลิน รีบช่วยลูกของข้าเร็วเข้า!” เสียงร้องไห้ของเด็กกับเสียงอันร้อนรนของมารดาดังเข้ามา
เถาเม่ยเอ๋อร์ถอนหายใจ นึกไม่ถึงว่าชื่อเสียงของหลินจื่อเฟิงผู้นี้จะโด่งดังไปทั่ว ผู้ที่มาขอรับการรักษามีแต่เพิ่มไม่มีลด มนุษย์กินอาหารสะเปะสะปะมากมายจะไม่เจ็บป่วยได้อย่างไร ต่อให้ร้านไป่เฉ่าแห่งนี้คิดอยากจะปิดพักกิจการบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องยากเรื่องหนึ่งเช่นกัน
เห็นเพียงสตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งอุ้มเด็กอายุราวสามขวบรีบวิ่งเข้ามา เด็กน้อยไม่เข้าใจเรื่องราว เมื่อมายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยก็ยิ่งร้องไห้ไม่หยุด
สตรีอ่อนเยาว์ผู้นั้นยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาพร้อมกล่าว “เมื่อไม่กี่วันมานี้บิดาของเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่ที่จวนว่าการ ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ข้ารู้สึกไม่สบายใจ จึงสะเพร่าจนปล่อยให้ลูกกลืนเหรียญเงินลงท้อง เมื่อบิดาเขารู้เข้าก็กล่าวว่าจะส่งคนมาติเตียนข้า หากลูกเป็นอะไรไป ข้าจะบอกบิดาเขาได้อย่างไร”
หลินจื่อเฟิงส่ายศีรษะเบาๆ “บิดาของเขาทำงานอยู่ที่จวนว่าการหรือ”
“เจ้าค่ะ เมื่อไม่กี่วันมานี้ทางการสั่งให้คนงานวางกระสอบทรายเพื่อใช้ป้องกันเมือง ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจทั้งวัน ถึงได้เกิดเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ขึ้น ผิดที่ข้าสะเพร่าเกินไปเอง ยามนี้ควรจะทำเช่นไรดี”
หลินจื่อเฟิงไม่กล่าววาจา เพียงกดท้องของเด็กน้อยลงไปเบาๆ ไม่กี่ครั้ง ก่อนใช้นิ้วมือดีดเบาๆ อีกเล็กน้อยแล้วกล่าว “ไม่ต้องร้อนรน ที่บ้านมีแห้วหรือไม่”
“แห้ว?” สตรีผู้นั้นประหลาดใจเป็นที่สุด ผงกศีรษะติดต่อกัน “ของสิ่งนี้เป็นของตามฤดูกาลที่พวกเราซึ่งอยู่ในถิ่นเจียงหนานล้วนมีทุกที่ แม้ตอนนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤต แต่ของประเภทนี้ล้วนมีอยู่ภายในบ้านเสมอเจ้าค่ะ”
หลินจื่อเฟิงกล่าวอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล กลับบ้านไปนำแห้วมานึ่งให้สุก จากนั้นบดให้ลูกกิน เหรียญเงินก็จะออกมาพร้อมอุจจาระเองแล้ว”
“จริงหรือ” สตรีอ่อนเยาว์ผู้นั้นทั้งประหลาดใจทั้งยินดี “หากรู้แต่แรกข้าก็ไม่ต้องลนลานเช่นนี้แล้ว ลูกคนนี้ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนทั้งสิ้น แค่ถูกข้าทำให้ตกใจเท่านั้น”
หลินจื่อเฟิงอมยิ้มผงกศีรษะ “ในสำรับอาหารแค่เพิ่มผักลงไปให้มากขึ้นก็พอ ไม่มีอะไรต้องกังวล”
สตรีอ่อนเยาว์ผู้นั้นจากไปอย่างรู้สึกขอบคุณ
เถาเม่ยเอ๋อร์พิงร่างกับกรอบประตูพลางกล่าว “วิชาแพทย์สูงส่งของท่านหมอหลินชวนให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก เห็นทีข้าจะมีตาแต่ไร้แวว”
เมื่อหลินจื่อเฟิงได้ยินประโยคนี้กลับคึกคักขึ้นมา “ทำไมหรือ คุณหนูเถาเริ่มอิจฉาแล้วหรือไร กลัวว่าข้าจะแย่งชามข้าว ของเจ้า ในใจเกิดความกลัวแล้วใช่หรือไม่”