ทั้งที่นัดพบคณะสถาปนิกจากเมืองกรุงไว้ตอนบ่ายสามครึ่ง แต่กว่าแม่ม่ายสาวจะนวยนาดลงมาชั้นล่างได้ก็ครึ่งค่อนชั่วโมงหลังจากนั้น ด้วยเสียเวลาไปกับการเลือกเสื้อผ้า แต่งหน้าทำผมอย่างประณีต เพื่อสร้างความประทับใจให้ชายหนุ่มที่สะดุดตาแต่แรกเห็น และการปรากฏตัวของเธอก็เรียกความสนใจจากทุกคนได้จริงๆ
ห้าหนุ่มนิ่งมองผู้ว่าจ้าง สามคนมองด้วยสายตาชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอีกสองคนเพียงแค่ยิ้มอ่อนๆ ให้อย่างสุภาพ หากอะไรบางอย่างบอกให้รู้ว่าพวกเขามี ‘ระดับ’ กว่าอีกสามคนที่มาด้วยกัน ยิ่งพอรู้ว่าคนหนึ่งเป็นลูกชายไพศาล…อธิบดีมือสะอาดจนลือชื่อในวงการ ขณะที่อีกคนเป็นลูกชายนายทหารที่ลาออกจากราชการไปเล่นการเมือง ตอนนี้เป็นรองหัวหน้าพรรค และเป็น ส.ส. ระบบปาร์ตี้ลิสต์ของพรรครัฐบาล…ชลธิษาก็เกิดความคิดว่าผู้ชายสองคนนี้ใช้ได้…ไม่ใช่หล่อแค่รูป ยังมีชื่อสกุลและฐานะทางสังคมที่จัดได้ว่าดีมากอีกด้วย
ภาพของธีรภัทร์ที่เคยเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งเสมอมาเริ่มคลอนแคลน เมื่อตัวเลือกอันดับสองและสามซึ่งโดดเด่นไม่แพ้กันโผล่ออกมา…แม่ม่ายสาวจึงเจรจากับพวกเขาอย่างอ่อนหวาน
“ดิฉันยินดีมากที่ได้คุณสองคนมาทำงานให้”
“เช่นกันครับ ไม่ทราบว่าคุณชลธิษาจะดูแบบที่ผมร่างไว้เลยหรือเปล่า เผื่อว่าอยากให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไรตรงไหน ผมจะได้จัดการให้”
“ไม่ต้องเรียกกันเต็มยศอย่างนั้นหรอกค่ะ เรียกดิฉันว่าชลสั้นๆ ก็ได้”
“ครับคุณชล”
พิรัลยอมทำตามโดยง่าย จึงได้รับรอยยิ้มหวานยิ่งกว่าน้ำตาลกลูโคสเป็นรางวัล…มีรอยเชิญชวนแฝงอยู่ในดวงตาและริมฝีปากอิ่มเคลือบลิปสติกสีแดงสด เอกภพเองก็มองเห็นและรับรู้ได้เช่นกัน
ถ้าเป็นแต่ก่อนที่ยังใช้ชีวิตโสดตามความพอใจ เขาคงสานไมตรีกับแม่ม่ายสาวต่อได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ตอนนี้เขามีดวงดาวเป็นเจ้าหัวใจ ไม่อยากทำให้เธอเสียใจ จึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่รักสนุกเหมือนเก่า
ชายหนุ่มเหล่มองเพื่อนอย่างหยั่งเชิง ถ้าเปรียบฝ่ายหญิงเป็นไฟ ฝ่ายชายก็เป็นแก๊ส มาเจอกันคงได้ลุกติดพึ่บพั่บ…แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นตรงข้าม ชวนให้ประหลาดใจอย่างยิ่งยวด เพราะพิรัลไม่มีท่าทีตอบสนอง เอาแต่พูดเรื่องงาน…ดวงตาดำคมนิ่งลึก ไม่ฉาบประกายแพรวพราวอย่างชายหนุ่มเจ้าสำราญคนเก่า
เกิดอะไรขึ้น พิรัลที่เขารู้จักนั้นไม่เคยปฏิเสธผู้หญิงสวย แล้วสิ่งที่เขาเห็นนี่มันอะไรกัน หรือยาที่หมอสั่งให้มีผลข้างเคียงกับพฤติกรรมของพิรัลหว่า
หลังจากคุยเรื่องงานเสร็จ ชลธิษาก็เชิญพวกเขารับประทานอาหารเย็นด้วยกันต่อ หญิงสาวเอาใจใส่พวกเขาเป็นอย่างดี ชวนคุยนู่นนี่ไม่ขาดปาก หากพิรัลกลับสำรวมตนได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว เขาถนอมคำพูดแทบจะนับประโยคได้ ปล่อยให้เพื่อนกับผู้ช่วยสนทนากับแม่ม่ายสาวเสียเป็นส่วนใหญ่
“เป็นอะไรไปวะไอ้พิ วันนี้ดูมึงฝ่อผิดปกติ”
พอกลับถึงที่พัก เอกภพก็ยิงคำถามคาใจใส่เพื่อนที่ทิ้งตัวนอนคว่ำบนเตียงนุ่มทันที
“ยอมฝ่อวันหนึ่งว่ะ ไม่ไหว…”
“อย่าบอกนะว่ามึงกลุ้มเรื่องที่น้องดาวโทรมาด่าจนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร”
เอกภพถามอย่างไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะเกิดสำนึกดีงามขึ้นในใจ ซึ่งพิรัลก็แสดงออกให้รู้ว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ด้วยการผงกหัวขึ้นแยกเขี้ยวใส่
“ใช่ที่ไหนเล่า ยายน้องดาวของมึงไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับกูเลยสักนิด ที่ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรนี่เป็นเพราะกูปวดระบมไปหมดทั้งตัวต่างหาก”
เอกภพมองเพื่อนตาค้าง ก่อนหัวเราะก๊าก แทบจะกลิ้งไปกลิ้งมาบนโซฟายาวด้วยความขัน
“โอย ไอ้พิ หมดมาดเลยว่ะ จูบสาวในสวนดอกไม้ คิดดูแล้วมันสุดแสนจะโรแมนติกเหมือนตอนจบในเทพนิยาย แต่เรื่องของมึงไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งว่ะ พระเอกถูกนางเอกผลักเข้าดงกุหลาบด้วยความแค้น แทนที่จะเป็นหนังรักโรแมนติก กลับกลายเป็นหนังลูนาติก (Lunatic) ไปฉิบ ฮะฮ่ะฮ่า…”
พิรัลมองเพื่อนขวางๆ อยากยันมันสักพลั่ก แต่ก็จนใจเพราะมันอยู่ห่างรัศมีเท้าเกือบสองเมตร และตอนนี้เขาก็ระบมจนไม่อยากขยับเขยื้อนด้วย จึงนับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างอดทน คิดว่าถ้าพ้นจากเลขสิบไปแล้วมันยังไม่หยุดหัวเราะ คงต้องหาอะไรเขวี้ยงปากให้หยุดล่ะ