บทที่ 1
ลั่วจื่อนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะหนังสือ สายตาของเธอตกอยู่บนหน้าสมุดโน้ตขาวสะอาดเล่มใหม่เอี่ยม
บนหน้ากระดาษมีปากกาลูกลื่นที่เปิดฝาทิ้งเอาไว้วางพาดอยู่ ฝาของมันวางนิ่งอยู่ข้างๆ เป็นเวลานานแล้ว เธอไม่รู้ว่าตัวเองหยิบปากกาขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ จึงตัดสินใจได้ว่าจะเขียนวันที่ลงไปก่อน แต่หัวปากกาที่กดลงไปกลับฝืดเคืองจนเขียนไม่ออก เหลือเพียงแค่รอยกดเลอะน้ำหมึกแห้งกรังดูไม่ได้เอาไว้บนหน้ากระดาษขาว
เธอวางปากกาทิ้งไว้นานเกินไป
เมื่อครู่นี้เจียงไป่ลี่ รูมเมตของเธอรีบร้อนพุ่งออกจากห้องไปทันทีหลังรับโทรศัพท์ ทิ้งถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กินเสร็จแล้วเอาไว้บนโต๊ะ ปล่อยให้กลิ่นของมันลอยค้างอยู่ภายในห้องพัก ลั่วจื่อขีดเส้นมั่วซั่วลงบนกระดาษอย่างเหม่อลอย ขณะที่กลิ่นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่งกลิ่นหอมแตะจมูกมากขึ้นเรื่อยๆ
ห้องพักอยู่กันสองคน แต่ฝ่ายที่ต้องทำความสะอาดอยู่เสมอคือลั่วจื่อ ทว่าเธอไม่เคยนึกเคืองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่เธอขยันก็แค่เพราะเธอมีความสามารถในการอดทนต่อความสกปรกน้อยกว่าคนอื่น เธอทนได้ไม่เท่าไป่ลี่ ดังนั้นเลยได้แต่ลงมือทำ
ความอดทนคือปัญญาอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
เมื่อเช้าตอนที่เจียงไป่ลี่นั่งอยู่บนเตียงแล้วหยิบไพ่ทาโรต์ขึ้นมาปฏิบัติการ ‘ดูดวงเดือนละครั้ง’ เธอก็จะให้ลั่วจื่อหยิบไพ่ใบหนึ่งออกมาเพื่อดูดวงด้วยให้ได้ หลังลั่วจื่อหยิบไพ่ออกมาก็ยัดกลับไปให้ ‘แม่หมอ’ บนเตียงทันทีโดยไม่แม้แต่จะพลิกดูหน้าไพ่ จากนั้นก้มหน้าอ่านนิยายสืบสวนผลงานของฮิงาชิโนะ เคโงะ* ต่อ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ลั่วจื่อถึงได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นใกล้กับเพดานห้องกะทันหัน ‘เธอได้ฟังฉันพูดบ้างไหมเนี่ยหา! ฉันบอกว่าสรุปแล้วเธอต้องอดทน! อดทน! คนที่รู้จักอดทนถึงจะเป็นปราชญ์!!’
ลั่วจื่อเงยหน้าขึ้นพร้อมเหลือบมองเจียงไป่ลี่อย่างเกียจคร้าน “ตั้งแต่พักอยู่ห้องเดียวกับเธอ ฉันก็ถูกบังคับให้ฝึกตนเป็นปราชญ์อยู่แล้ว”
หลังจากนั้น ‘แม่หมอ’ ที่อยู่เตียงชั้นบนยังโวยวายอะไรอีกสักอย่าง แต่เธอจำไม่ได้แล้ว ตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายเจียงไป่ลี่ก็เริ่มฝึกดูพวกไพ่ทาโรต์ ดวงราศี และการทำนายจากระบบดวงดาว ยังไงก็ตามการได้ควบคุมดวงชะตาดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงสภาพชีวิตอันยุ่งเหยิงของเจียงไป่ลี่เท่าไหร่นัก ในเรื่องนี้กระทั่งตัว ‘แม่หมอ’ เองก็รู้สึกไม่เข้าใจเหมือนกัน
เพราะว่าเธอเอาแต่รอลิขิตฟ้า แต่ไม่พยายามอย่างเต็มที่น่ะสิ! ลั่วจื่อคิดอยู่ในใจเงียบๆ
ลั่วจื่อไม่เชื่อในดวงชะตา เธอกลัวว่าพอตัวเองเชื่อในภัยจากฟ้าแล้วจะลืมภัยจากคน ภัยจากคนนั้นเรายังสามารถรู้สึกชิงชังและต่อต้านมันได้ แต่ลิขิตฟ้านั้นไม่อาจฝืน ทันทีที่คนเราเชื่อในดวงชะตาแล้ว ยังจะมีความหวังอะไรได้อีก
แต่มีประโยคหนึ่งที่เจียงไป่ลี่พูดไว้ไม่ผิด ‘คนที่รู้จักอดทนถึงจะเป็นปราชญ์’ ความอดทนนั้นจำเป็นจริงๆ
อันที่จริงไม่มีใครเข้าใจในเรื่องนี้ไปมากกว่าลั่วจื่อแล้ว…