“ก็คล้ายๆ กับลอยกระทงของภาคกลางล่ะค่ะ แต่ว่าทางหนือเรามีความหมายเกี่ยวกับบรรพบุรุษด้วย คือมีตำนานเล่ากันว่าเมื่อก่อนนี้ทางล้านนา โดยเฉพาะทางหริภุญไชยหรือลำพูนในตอนนี้เคยเกิดอหิวาตกโรคระบาดค่ะ ผู้คนเลยอพยพขึ้นเหนือย้ายถิ่นฐานกัน เล่ากันว่าเดินทางไปถึงหงสาวดีแล้วอาศัยอยู่ที่นั่นหลายปีกว่าจะย้ายกลับมา แต่มากันได้ไม่ครบเหมือนตอนไปหรอกนะคะเพราะมีล้มตายกันไปบ้าง พอคืนขึ้นสิบห้าค่ำเดือนยี่ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นช่วงเวลาที่เคยละทิ้งถิ่นฐานไปและตรงกับประเพณีลอยกระทง ชาวล้านนาก็จะทำกระถางไม่ก็แพกระทงใส่เครื่องสักการบูชาและดอกไม้ธูปเทียนนำไปลอยตามลำน้ำ หวังจะทำเพื่อส่งไปเคารพสักการะและระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับในหงสาวดีค่ะ” ลัลน์อธิบายยาวอย่างใจเย็นและยิ้มเมื่อเห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังของธารณ์
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่ตอนนี้ยังทำแบบเดิมอยู่ใช่ไหมครับ เหมือนลอยกระทงของทางภาคอื่นๆ ไหม”
“รอดูสิคะ อีกไม่กี่วันเองค่ะ แล้วถ้าพี่ธารณ์ยังมีเวลา เราจะไปเที่ยวดอยผาหลวงกันต่อก็ได้นะคะ”
“ดอยผาหลวง จริงสิ…เคยได้ยินมาว่าที่ฝางมีดอยผ้าห่มปกที่สวยมากๆ ด้วย สวยพอกันไหมครับ” ธารณ์เอ่ยแล้วก็ทำหน้างงเมื่อเห็นหลายคนหัวเราะอีก
“ก็ที่เดียวกันแหละค่ะ ชาวบ้านเรียกว่าดอยผาหลวง พี่ธารณ์ชอบอากาศหนาวไหมคะ ไม่ใช่แค่เย็นนะคะ แต่หนาวจับใจเลย เพราะดอยผาหลวงมีความสูงเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากดอยอินทนนท์ค่ะ” ลัลน์รับเป็นคนเฉลยเสียเอง
“อ๋อ…ได้ยินมาว่าถ้าได้ไปกางเต็นท์นอน มีโอกาสชมวิวพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะติดใจ เพราะสวยโรแมนติกมากใช่ไหมครับ”
“ค่ะ ว่าไงคะ สนไหม”
“ถ้าหนูลัลน์ยอมพาไปแล้วนั่งดูพระอาทิตย์เป็นเพื่อนล่ะก็โอเค ถึงไหนถึงกัน” น้ำเสียงของธารณ์อบอุ่นในขณะที่สายตาทอดมองหญิงสาวข้างกาย
แววตาของเขาทำให้ลัลน์เริ่มวางสีหน้าไม่ค่อยถูก ได้แต่ยิ้มเก้อๆ ตอบ ท่าทางไม่รุ่มร่ามของเขาแต่เปิดเผยและสุภาพทำให้ลัลน์รู้สึกว่าตัวเธอไม่ปกติเหมือนที่เคยเป็นมาเสมอ
“แน่ะ! เจ้าธารณ์จะจีบหนูลัลน์หรือยังไง อย่าน่า พี่ขี้เกียจโดนพ่อนายไล่เตะ” นพวินทร์ท้วงรวดเร็วทำเอาลัลน์ยิ่งพูดไม่ออกได้แต่ยิ้ม สถานการณ์แบบนี้เธอไม่คุ้นเอาเสียเลยจริงๆ
“ผมได้ยินที่ตลาดคุยกันอยู่นะว่าท่านนพจะดองกับพ่อนาย หน่วยก้านก็พอไหวนี่นาน้องชายท่านนพเนี่ย รับพิจารณาไหมหนูลัลน์” ณัฐวัฒน์เจ้าของสวนส้มใกล้เคียงถามบ้าง ทำให้ลัลน์รู้ว่าข่าวลือจากวัดท่าตอนไปไกลแล้วตอนนี้
“อ้าว ใครคุยเหรอพี่วัฒน์” นภางค์ถามในขณะที่มือหันไปเปลี่ยนแก้วเหล้าให้กับสามี
“ก็หลายคน ว่าไงพ่อหนุ่ม ทำงานเป็นหลักเป็นฐานแค่ไหนเรา ทำฝ่ายหญิงเขาเสียหายแบบนี้ต้องรับผิดชอบรู้ไหม” ณัฐวัฒน์หันกลับไปหาธารณ์
“ช่างมันเถอะค่ะพี่วัฒน์ ปากคนน่ะอย่าไปฟังมากเลย พี่ธารณ์เค้ามาทำข่าวแล้วก็เป็นแขกของพ่อเท่านั้นเอง ถ้าจะสนิทสนมถูกชะตากันก็เพราะพี่นพกับพี่นายด้วย เรารู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว” ลัลน์เกลื่อนสีหน้าให้เป็นปกติเอ่ยให้เป็นเรื่องไม่ซีเรียส
“พี่วัฒน์ก็พูดเข้า ไปๆ มาๆ ตัวเองกลับมาพูดล้อน้องเสียเอง” ภรรยาของณัฐวัฒน์ส่ายหน้าให้กับความขี้เล่นของสามี
เสียงของมินจากบนเวทีที่ร้องชวนให้ทุกคนไชโยให้กับคู่บ่าวสาวทำให้ความสนใจต่อหัวเรื่องที่ลัลน์ปรับสีหน้าไม่ค่อยถูกเปลี่ยนไปอยู่ที่คู่บ่าวสาวอย่างพร้อมเพรียงทั้งงาน แต่อาจจะยกเว้นธารณ์
“ขอโทษที่ทำให้หนูลัลน์เสียหาย แต่พี่ยินดีรับผิดชอบนะครับ ทั้งชีวิตเลยก็ได้ถ้าหนูลัลน์ไม่รังเกียจ” คำพูดของเขาที่ดังขึ้นจะมีใครได้ยินบ้างหรือเปล่าลัลน์ไม่รู้ ที่รู้คือหัวใจเธอเหมือนจะวูบไหวแปลกๆ
“ไชโย ไชโย” เสียงแขกทั้งงานร้องขึ้นพร้อมกัน แก้วในมือถูกยกชู ลัลน์เสกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่ปกติของตัวเองร้องประสานไปเป็นส่วนหนึ่งด้วย ดวงตามองตรงไปยังคู่บ่าวสาว แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในเวลานี้