บทที่หก
ผิงอวี้รู้สึกว่ารสชาติที่ว่านี้ช่างยากจะทานทน เหมือนว่าร่างของเขากำลังถูกลงทัณฑ์ทรมานจนแทบมิอาจฝืนทนได้อีกแล้วแม้เพียงชั่วเค่อเดียว
เขากัดฟันแล้วหลับตา เรียกเอาความอดทนต่อการถูกถ่านปู้ข่านเฆี่ยนตีลงทัณฑ์ที่เมืองเซวียนฝู่ในตอนนั้นขึ้นมาต้านทานไว้ บอกตนเองว่าอดทนต่อไปอีกเพียงระยะทางสั้นๆ เท่านั้น พอไม่ได้ยินเสียงประหลาดนั้นแล้ว ค่อยโยนนางลงจากหลัง
พอคิดได้เช่นนี้ ร่างกายที่รู้สึกงุ่นง่านอย่างบอกไม่ถูกก็ค่อยสงบลงได้บ้างในที่สุด
ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฟู่หลันหยาหวีดร้อง “งู!”
เขาตกใจจนชะงักฝีเท้า เห็นงูเขียวธรรมดาตัวหนึ่งเลื้อยผ่านเท้าไปพอดี งูตัวนี้มีสีเขียวสด เป็นงูคนละพันธุ์กับงูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง มีนิสัยอ่อนโยนและไม่มีพิษ
พอฟู่หลันหยาหวีดร้อง งูตัวนั้นก็รีบเลื้อยเข้าพงหญ้า หายไปในชั่วพริบตา
หัวคิ้วเขาขมวดมุ่น กำลังจะต่อว่าว่านางเป็นคนขี้ตกใจ แต่คงเป็นเพราะคืนนี้ฟู่หลันหยาต้องเผชิญเหตุการณ์ที่ไม่เคยพบพานติดๆ กันจนขวัญหนีดีฝ่อไป นางจึงได้ลืมการไว้ตัวไปโดยสิ้นเชิงแล้ว แขนสองข้างโอบรัดรอบลำคอเขาจนแน่น จะทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
แผ่นหลังของเขาจึงสัมผัสได้ถึงสิ่งอ่อนนุ่มสองก้อนได้อย่างชัดเจน เนื่องจากร่างแนบร่าง เขาจึงรับรู้ได้ถึงทรวดทรงอันชัดเจนยิ่งกว่าช่วงก่อนหน้านี้เสียอีก
ประหนึ่งมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นในหัวสมอง เขาพลันหวนนึกไปถึงภาพความทรงจำอันน่าขยะแขยงที่สุดเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา ท้องไส้ปั่นป่วน เขาถึงกับทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบทิ้งร่างฟู่หลันหยาลงจากหลังในทันที
ฟู่หลันหยาเหลือบเห็นงูเลื้อยผ่านไปแล้ว เพิ่งจะโล่งอกได้บ้าง ใครเลยจะรู้ นางยังไม่ทันตั้งสติก็ถูกผิงอวี้ทิ้งลงกับพื้นเสียแล้ว เพราะไม่ทันระวังจึงล้มก้นจ้ำเบ้า ท่ามกลางความสับสนมึนงง นางเกือบจะทำให้ข้อเท้าต้องแพลงไปอีกรอบ
นางทั้งตกใจทั้งฉุนโกรธ กุมข้อเท้าที่เจ็บปวดพลางเงยหน้าขึ้นถลึงตามองผิงอวี้ คนผู้นี้เป็นอะไรกันแน่ ก่อนหน้านี้ข้าขอลง กลับไม่ให้ขยับตัว ตอนนี้จู่ๆ ก็ปล่อยให้ข้าหล่นลงมาเสียอย่างนั้น ไม่มีแม้แต่จะบอกกล่าวกันสักคำ
ยามฟู่หลันหยาได้จ้องมองดีๆ ก็ต้องตะลึงงันไป สีหน้าของผิงอวี้เหยเก เหงื่อออกจนชุ่มหน้าผาก ดูแล้วแทบไม่ได้ดีไปกว่านางสักเท่าไร
ฟู่หลันหยาถามอย่างตื่นตระหนก “ใต้เท้าผิงถูกงูฉกมาหรือ!”
นางลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก อยากจะกระเถิบเข้าไปดูอาการเขาใกล้ๆ
คิดไม่ถึงว่าพอผิงอวี้เห็นนางเดินกะเผลกเข้ามาหา เขากลับถอยห่างออกไปสองก้าวด้วยสีหน้าย่ำแย่ “ข้าไม่ได้เป็นอะไร!”
ฟู่หลันหยาได้ยินเขาพูดตวาดเสียงดังฟังชัด ไม่เหมือนว่าถูกงูพิษกัดสักนิดก็รู้สึกเหลือทนกับอาการผีเข้าผีออกของเขา นางยืนอยู่ที่เดิมได้ครู่หนึ่งก็กลับลงไปนั่ง สีหน้าเย็นชายิ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่งนางค่อยนึกขึ้นได้ว่าตนเองถูกผิงอวี้แบกขึ้นหลังมาตลอดทาง แม้จะเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำในยามฉุกละหุก แต่ก็อดรู้สึกหงุดหงิดและอับอายไม่ได้ แต่เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานึกย้อนเสียใจ นางจึงได้แต่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ อดกลั้นความขมขื่นในอกกลับลงไป แล้วเตือนสติเขาเบาๆ “ใต้เท้าผิง ขอบคุณที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่เกรงว่าไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่นานนัก เกิดเจ้าคนที่เรียกงูมาผู้นั้นจู่โจมอีกครั้งล่ะก็…”
เวลานี้สีหน้าผิงอวี้กลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ไม่รู้เหตุใดเขาจึงยังดูว้าวุ่นใจ พอได้ยินที่ฟู่หลันหยาพูดก็หันไปเหลือบมองนาง แล้วตอบอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “ข้าจะเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาของข้ามาที่นี่”
ขณะที่พูดก็อดมองไปยังเท้าและท่อนแขนของฟู่หลันหยาที่มีชายเสื้อปิดไว้เพียงครึ่งเดียวไม่ได้ เห็นผิวเนื้อส่วนที่เผยออกมานอกผ้าดูขาวเนียนดุจหยก น่ามองเป็นพิเศษ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ชี้ไปยังก้อนหินที่อยู่ไม่ไกลนักทางด้านหลัง แล้วพูดอย่างไม่เปิดช่องให้โต้เถียง “ข้าจะเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาแล้ว เจ้ารีบไปซ่อนอยู่หลังก้อนหินก้อนนั้นก่อน”