ฟู่หลันหยาได้ยินอย่างชัดเจนจากด้านหลังก้อนหิน รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที นางรีบเอามือยันก้อนหินแล้วลุกขึ้นมา แต่ยังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังพลางขานตอบว่า “แม่นม ข้าอยู่นี่”
แม่นมหลินได้ยินก็ตะลึงงัน รีบก้าวยาวๆ อ้อมไปด้านหลังก้อนหิน อาศัยแสงจากคบไฟกวาดตาสำรวจฟู่หลันหยาไปทั่วตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนรวบนางมากอดไว้ในอ้อมอก พูดเสียงสั่นปนสะอื้น “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นแม่นมคงจะ…”
แล้วก้มหน้าลงตรวจดูข้อเท้าของฟู่หลันหยาที่บาดเจ็บด้วยความสงสารจับใจ
ฟู่หลันหยาลำคอตีบตัน กลั้นน้ำตาไว้แล้วปลอบใจแม่นมหลินด้วยเสียงกระซิบอ่อนโยน รอจนกระทั่งนางสงบใจลงได้ ค่อยยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้
ผิงอวี้ฟังสองนายบ่าวปลอบประโลมกันไปมาอย่างหมดความอดทน เห็นมู่เฉิงปินมาแล้วจึงก้าวอาดๆ เข้าไปหา
ฟู่หลันหยาสะอื้นพลางปลอบใจแม่นมหลิน พอเหลือบเห็นทางหางตาว่าผิงอวี้เดินไปแล้วก็ไม่กล้าชักช้าให้เสียเวลา รีบหันไปขยิบตาให้แม่นมหลินทันที
แม่นมหลินรับรู้แล้วก็หยุดร้องไห้ เอาเสื้อคลุมกันลมมาสวมให้ฟู่หลันหยาพลางยื่นตำราโบราณเล่มนั้นกับถุงใส่ยาถอนพิษให้ถึงมือนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เพิ่งหนีรอดจากกองเพลิงได้ สองนายบ่าวจึงไม่ทันได้หยิบอะไรออกมาด้วย เอามาเพียงของล้ำค่าสองสิ่งนี้ที่ซ่อนไว้ใต้หมอนตอนนอนเท่านั้น โชคดีเหลือเกินที่ยังรอดปลอดภัยดีไม่เสียหายแต่อย่างใด
ฟู่หลันหยาซ่อนตำราโบราณไว้ในเสื้อตัวในอย่างเงียบๆ ปล่อยให้แม่นมเอาเสื้อกันลมมาสวมตัว ในใจลึกๆ ยังไม่หายกังวล แอบคาดเดาว่าที่ชาวอี๋หาทางเล่นงานนางไม่ยอมเลิกราเช่นนี้ ดูแล้วไม่เพียงมุ่งโจมตีที่ตัวนาง แต่เหมือนเป็นเพราะสิ่งที่นางพกติดตัว
ทว่าฟู่หลันหยาประสบเคราะห์ภัยจนครอบครัวล่มสลาย ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีสิ่งของมีค่าติดกาย ที่แท้มีสิ่งใดมีค่าพอให้คนเหล่านี้ต้องการ
นางคิดทบทวนดูแล้วก็ค่อยๆ เชื่อมโยงไปถึงตำราที่ซ่อนไว้ในอก
คิดแล้วก็เสียวสันหลังวาบ จู่ๆ ก็ได้ยินผิงอวี้พูดกับมู่เฉิงปินด้วยสีหน้ากึ่งหยอกเย้ากึ่งจริงจัง “เหตุการณ์ในคืนนี้วังมู่อ๋องคงยากจะหลบเลี่ยงว่าไม่เกี่ยวข้อง ข้าจะต้องตรวจสอบจนรู้ชัดให้ได้ ถ้าเจ้าปัดความรับผิดชอบอย่างส่งเดช หรือปิดบังลับๆ ล่อๆ ก็อย่าได้กล่าวโทษเป็นอันขาด เพราะข้าจะไม่เป็นแม้แต่พี่น้องกับเจ้า”
มู่เฉิงปินหัวเราะขึ้นมาทันทีแล้วบอกอย่างร่าเริง “ตรวจสอบเลย ต้องตรวจสอบด้วย ไฟไหม้ครั้งนี้เกิดขึ้นในวังมู่อ๋องของข้า คนก็ถูกลักพาไปจากวังข้า ต่อให้ข้ากระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ยากจะล้างมลทิน* ต่อให้เจ้าไม่ตรวจสอบข้าก็จะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ จะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองให้จงได้”
ผิงอวี้จึงค่อยหัวเราะร่า แล้วเดินกลับไปที่ก้อนหิน เห็นฟู่หลันหยาสวมเสื้อคลุมกันลมแล้วก็พูดขึ้นเรียบๆ “ไปกันเถอะ”
ฟู่หลันหยาหลุบตาลง แล้วเดินกะเผลกไปยังเกี้ยวโดยมีแม่นมหลินคอยช่วยประคอง ขณะเดินทางกลับ นางรู้สึกตลอดเวลาว่ามีสายตาสองคู่คอยจับจ้องตนเอง แต่จะเป็นด้วยเจตนาใดนั้นกลับไม่ชัดแจ้ง
มาถึงหน้าประตูวังมู่อ๋อง ฟู่หลันหยาก็ให้แม่นมหลินประคองลงจากเกี้ยว แล้วเดินขากะเผลกตามทุกคนเข้าไปข้างใน
ทั่วทั้งวังมู่อ๋องเงียบสงบ เสียงหวีดร้องอึกทึกด้วยความหวาดกลัวในเหตุไฟไหม้ก่อนหน้านี้สงบราบคาบลงแล้ว
มู่เฉิงปินจัดการรวดเร็วดุจสายฟ้า หลังจากควบคุมเพลิงที่โหมไหม้เรือนปีกตะวันตกไว้ได้แล้ว ก็สั่งให้ปิดทางเข้าออกของวังทั้งหมดจนกว่าจะจับตัวหนอนบ่อนไส้ออกมาได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
บัดนี้บ่าวไพร่ทั่วทั้งวังอ๋องถูกควบคุมไว้ที่ลานเรือนด้านหน้า รอการไต่สวนอย่างเงียบๆ