ใบหน้าอันคมคายของเติ้งอันอี๋เผยแววร้อนรน เห็นฟู่หลันหยาดูหวาดระแวง ตอนแรกก็ประหลาดใจ จากนั้นจึงยิ้มอย่างขมขื่น “คุณหนูฟู่ ข้างนอกโกลาหลไปหมด ข้าจะพาเจ้าหนีไปชั่วคราวก่อน ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้า คุณหนูฟู่โปรดเชื่อใจข้าสักครั้งเถอะ”
เชื่อใจเจ้า? ฟู่หลันหยาหัวเราะหยันในใจ การเดินทางครั้งนี้พบเจอแต่พวกคนชั่ว ข้าเชื่อใจใครไม่ได้หรอก! แล้วจึงเดินอ้อมตัวเขาที่กำลังขวางทาง พยายามจะเดินออกไปให้ได้
เติ้งอันอี๋ไม่คาดคิดมาก่อน คราวนี้จึงมิได้ขัดขวางอีก ได้แต่ยืนมองเงาร่างด้านหลังของฟู่หลันหยาอยู่เงียบๆ แววตาอ่านยากว่าคิดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยสาวเท้าเดินตามไป
สองนายบ่าวออกมาแล้วจึงพบว่าโถงทางเดินที่เดิมทีโล่งกว้างบัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน หลี่หมินกับองครักษ์เสื้อแพรทุกคนมีมือสังหารประกบติดคนละสองคนทั้งนั้น กำลังต่อสู้ติดพันอย่างยากลำบาก ทั้งยังมีมือสังหารบุกขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
มือสังหารที่บุกมาใหม่หันมาเห็นฟู่หลันหยาก็พุ่งทะยานเข้ามาหาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ตอนนี้แม่นมหลินตั้งสติได้แล้ว ไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีก นางก็กระชากมือฟู่หลันหยาให้ออกวิ่งไปอีกทางทันที น่าเสียดายฟู่หลันหยาเจ็บข้อเท้ามาก มือสังหารก็บุกมาหลายคน แม้จะมีเติ้งอันอี๋กับคนอื่นช่วยต้านไว้ แต่ก็ยังมีมือสังหารบุกตามฟู่หลันหยามาทันอยู่ดี
ฟู่หลันหยาวิ่งหนีเอาชีวิตรอด วิ่งกะเผลกไปตามทางเดินคดเคี้ยว มีเสียงต่อสู้ดังสับสนวุ่นวายแว่วตามหลังมาไม่ขาดสาย นางคลำหาทิศทางท่ามกลางความสับสนอลหม่าน รอจนได้สติแล้วจึงพบว่าแม่นมหลินพลัดหลงกับตนเองไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
“แม่นม” ฟู่หลันหยาร้อนใจดุจมีไฟแผดเผา นางหันกลับไปมองอย่างตื่นตระหนก ขณะจะหวนกลับไปค้นหาแม่นมหลินตามทางที่หนีมา จู่ๆ ก็มีกระบี่ยาวแทงเข้ามาต่อหน้า ห่างจากใบหน้านางไม่ถึงครึ่งฉื่อ นางตกใจจนหวีดร้องแล้วหันหลังกลับวิ่งหนีสุดชีวิต
ไม่ช้าด้านหลังก็มีเสียงของหนักๆ หล่นลงพื้นดังตุบ เติ้งอันอี๋ตะโกนเรียกอย่างร้อนรน “คุณหนูฟู่!”
ฟู่หลันหยาใจเต้นไม่เป็นส่ำ พยายามคลำทางที่วกวนราวกับเขาวงกตอย่างสะเปะสะปะ น่าแปลกนัก เมื่อตอนเย็นยังเป็นทางเดินราบเรียบดีๆ อยู่แท้ๆ เวลานี้ไม่ทราบว่าเกิดเหตุประหลาดใดขึ้นมา เดินไปเดินมากลับวนมาอยู่ที่เดิม ทำอย่างไรก็หาทางลงชั้นล่างไม่พบ
เสียงมือสังหารประดังเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง นางก็ยังหาบันไดทางลงไม่พบ แม้ข้างหลังจะมีหน้าต่าง แต่หอหลังนี้สูงนัก หากกระโดดลงไปจากชั้นสามต้องถึงตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ฟู่หลันหยารู้สึกว่าตนเองค่อยๆ ถูกบีบเข้าไปหาทางตัน ขณะที่กำลังสิ้นหวังยิ่งยวด จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนจะผล็อยหลับนางนึกถึงหอหลิวเปย ดั่งมีแสงสว่างวาบขึ้นในความคิด นางเงยหน้าขึ้นมองทันใด พบว่าด้านข้างจุดที่ตนเองยืนอยู่มีทางเดินแคบๆ ซ้ายขวาเป็นหน้าต่างข้างละบาน ล้วนแต่ปิดไว้สนิท มองลอดกรอบหน้าต่างด้านขวาไปสามารถเห็นดวงจันทร์สว่างจ้าได้อย่างชัดเจน
ฟู่หลันหยาตะลึงงัน ผังของทั้งหอหลังนี้ราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะใช่คนเดียวกับเจ้าของหอหลิวเปยหรือไม่ ดูเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ศาสตร์แห่งฉีเหมินตุ้นจย่าเหมือนกัน เมื่อครู่นางตื่นตระหนกจึงเดินเข้ามาในมุม พอก้าวแรกเดินผิด ก้าวต่อๆ มาจึงผิดทิศผิดทางไปหมด
‘ด้านตะวันออกนี่แหละจึงจะเป็นทางหลบหนี’ เสียงหัวเราะของพี่ชายยังดังก้องอยู่ข้างหู ‘หยินหยางหมุนเวียนไร้สิ้นสุด สองลักษณ์กลับคืนสู่เก้าวัง เด็กน้อย ตอนที่เจ้าคำนวณพลาดไปหนึ่งวังนะ’
มีเสียงฝีเท้าตามมาด้านหลัง คนผู้หนึ่งวิ่งทะยานมาหานาง ด้านหน้าไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว นางจึงกัดฟันผลักบานหน้าต่างทางด้านขวาอย่างไม่ลังเลแล้วกระโดดลงไป
ไร้ซึ่งทางถอยแล้ว พี่ชาย ข้าได้แต่เชื่อพี่เท่านั้น