พอออกจากวังอ๋อง ฟู่หลันหยาก็ยืนนิ่ง สำรวจรอบด้านผ่านม่านหมวกแพร กลับเห็นว่านอกจากรถม้าขององครักษ์เสื้อแพรที่จอดอยู่หน้าประตูแล้ว ยังมีขบวนรถอีกหนึ่งขบวนด้วย
รถม้าสองคันในขบวนนั้น แม้จะมิได้หรูหราสะดุดตา แต่ดูจากคานรถและไม้ประกอบตัวรถสีดำสนิทแล้ว นี่มิใช่ของที่คนธรรมดาจะจัดหามาใช้ได้
รถม้าคันนั้นมีคนห้อมล้อมทั้งหน้าและหลัง เป็นองครักษ์เสื้อแพรที่สวมชุดเต็มยศ ดูแล้วสง่างามน่าเกรงขาม
นางอดประหลาดใจไม่ได้ หรือว่ามีคนของวังมู่อ๋องออกเดินทางไกลไปพร้อมกัน ดูจากสถานการณ์แล้ว…หรือจะเป็นชายาซื่อจื่อ
เพียงชั่วครู่นางก็ได้เห็นคนผู้นั้นยืนอยู่กับมู่เฉิงปินและผิงอวี้ ท่าทางดูสุภาพเรียบร้อย เรือนร่างสูงเด่นเป็นสง่า หากจำไม่ผิดดูเหมือนเขาจะแซ่เติ้ง
เมื่อคืนเขาก็อยู่ตรงลานเรือนด้วย ทว่าตั้งแต่เริ่มมีการใช้เลือดงูตรวจร่างกาย ดูเหมือนเขาจะไม่สบายสักเท่าไรนัก
เวลานี้พอเขาทักทายมู่เฉิงปินแล้วก็ตั้งท่าจะจากไป ประสานมือกล่าวอำลาด้วยรอยยิ้ม “พี่เขย ข้ากับน้องสาวมารบกวนพักที่วังนานแล้ว ทำให้ท่านกับพี่หญิงต้องลำบากไม่น้อย เวลานี้ใกล้จะถึงวันเกิดของท่านยายซึ่งอยู่ไกลถึงจิงโจว อาการป่วยของพี่หญิงก็ดีขึ้นมากแล้ว ข้ากับน้องสาวไม่ขออยู่รบกวนต่อ จะขอออกเดินทางไปยังจิงโจวก่อน”
พี่เขย? คุณชายเติ้งผู้นี้เป็นญาติกับสกุลมู่นี่เอง
ฟู่หลันหยาพอจะรู้อยู่บ้างว่าขุนนางและผู้สูงศักดิ์คนใดที่มีความเกี่ยวดองเป็นญาติกับมู่อ๋อง กวาดตามองไปทั่วเมืองหลวง นอกจากสกุลเติ้งที่ถือเป็นสกุลที่โดดเด่นแล้วก็ไม่มีตระกูลอื่นอีก
เมื่อครู่เขาพูดถึงน้องสาว…หรือว่าคุณหนูแห่งจวนหย่งอันโหวก็มาอยู่ที่วังมู่อ๋องนี้ด้วย
รอยยิ้มบนใบหน้ามู่เฉิงปินดูฝืดฝืนอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนหรือไม่ จึงรู้สึกได้ว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยสดใส พูดคุยกับเติ้งอันอี๋ตามมารยาทได้พักหนึ่งก็ส่งอีกฝ่ายขึ้นรถม้าไป
เวลานี้มู่เฉิงปินจึงค่อยหันไปพูดกับผิงอวี้อย่างกระตือรือร้น “ชายาข้ากำลังป่วย จึงไม่สะดวกจะไปส่งไกลๆ จะให้เจ้ามาที่อวิ๋นหนานก็คงไม่ค่อยมีโอกาสเท่าไรนัก ไว้คราวหน้าตอนข้าเดินทางเข้าเมืองจิงเฉิงไปถวายรายงานพร้อมท่านพ่อ พวกเราค่อยร่ำสุรากันให้เต็มคราบแล้วกัน”
ผิงอวี้ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ากับข้าไยต้องพูดจาให้มากความ ขอเพียงมีโอกาสได้พบกัน ต้องร่ำสุราจนกว่าจะเมามายแน่นอน!” พอประสานมือคำนับตอบแล้วก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า
มู่เฉิงปินหัวเราะร่า ตอบกลับเสียงดังก้อง “ได้สิ!”
ทางฟู่หลันหยากับแม่นมหลินกำลังจะขึ้นรถม้า จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากในวัง
หญิงสาวที่เดินนำหน้าสวมหมวกม่านแพร การแต่งกายและเครื่องประดับโดดเด่นสะดุดตา ดูพิถีพิถัน และสมฐานะโดยไม่ดูหยิ่งผยองจนเกินไป มีสาวใช้ล้อมหน้าหลัง ยามเยื้องย่างป้ายหยกห้อยเอวกระทบกันเสียงดัง ก้าวย่างอย่างชดช้อย กิริยาท่าทางงดงามน่ารักเป็นที่สุด
เมื่อเดินมาถึงข้างกายมู่เฉิงปิน นางก็ยอบกายลงคำนับ
มู่เฉิงปินพยักหน้า แล้วกำชับว่า “พวกเจ้าพี่น้องสองคนต้องคอยดูแลกันและกันให้ดีระหว่างเดินทาง พอถึงจิงโจวแล้วก็ให้ม้าเร็วมาแจ้งพวกเราสักหน่อยว่าปลอดภัยดี ถึงญาติผู้พี่เจ้าจะป่วยอยู่ แต่ก็ยังห่วงหาอาทรพวกเจ้าทั้งสองอยู่ในใจ”
เขายังบอกอีกว่า “หลายวันมานี้มีคนเร่ร่อนออกเพ่นพ่านอาละวาด ทำให้เจ้าติดอยู่ที่อวิ๋นหนาน เดินทางกลับเมืองหลวงไม่ได้ ตอนนี้มีพี่ชายร่วมทางไปด้วย พี่สาวเจ้าคงวางใจได้เสียที”
โฉมงามพยักหน้า ลมพัดชายม่านหมวกแพรมุมหนึ่งพะเยิบไปตามการเคลื่อนไหวของนาง เผยให้เห็นปลายคางเรียวเล็กขาวเนียน
ฟู่หลันหยารู้แล้วว่าสตรีผู้นี้ก็คือคุณหนูเติ้งแห่งจวนหย่งอันโหวนั่นเอง ในเมื่อพวกเขาเดินทางไปจิงโจว ซึ่งเป็นทางผ่านไปเมืองจิงเฉิงเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะได้ร่วมทางกับพวกเขาหรือไม่
ขณะกำลังครุ่นคิด ผิงอวี้ก็เบนหัวม้าตวัดแส้แล้วบอกว่า “สายแล้ว จ้งเหิง พวกเรายังมีภารกิจ ขอตัวออกเดินทางก่อนแล้ว”
พูดยังไม่ทันจบก็ควบม้าจากไป เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะร่วมทางกับขบวนรถม้าของสกุลเติ้ง
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่เหลือต่างรีบหนีบท้องม้าแล้วควบตามหลังผิงอวี้ไปทันที