แต่ไม่ว่าอย่างไร คนของสำนักฉินเป็นผู้ชำนาญในวิถีทางนอกกฎหมาย เก่งกาจในการสืบหาข่าว มาลองสอบถามดูก่อนก็ยังดีกว่ามุ่งสืบหาข่าวไปอย่างไม่รู้ทิศทาง
ไม่นานก็มีเสียงความเคลื่อนไหวที่ด้านหลังประตู มีคนมองลอดออกมาทางรอยแง้มประตู
พอเห็นว่าข้างนอกเป็นชายหนุ่มแปลกหน้า คนผู้นั้นก็ไม่ยอมเปิดประตูจริงดังที่ผิงอวี้คาดไว้ บอกแต่เพียงว่า “ร้านข้าเลิกกิจการแล้ว ไม่ทราบว่าท่านมาเยือนกลางดึกเช่นนี้มีธุระอันใด” เสียงนั้นฟังแล้วเฒ่าชรามาก
ผิงอวี้ยิ้ม ถือป้ายคำสั่งนั้นไว้ในมือแล้วเอ่ยว่า “มีเรื่องต้องขอรบกวน ข้ามีธุระด่วนมาหาเจ้านายของเจ้า”
คนผู้นั้นเห็นสิ่งที่อยู่ในมือผิงอวี้ชัดเจนก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ รีบเปิดประตูให้แล้วกล่าวว่า “คุณชาย เชิญเข้ามาข้างในขอรับ”
ผิงอวี้เดินเข้าไปก็กวาดตามองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง เห็นเป็นชายชราอายุร่วมเจ็ดสิบ มีผมหงอกหร็อมแหร็ม ใบหน้ายับย่น หลังค่อมจนยืดตัวตรงไม่ได้
ชายชราเชิญผิงอวี้เข้าไปในร้านแล้วปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กุลีกุจอยกน้ำชาเชื้อเชิญให้เขานั่ง
ผิงอวี้เห็นชายชราดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมากขณะต้อนรับ เขาก็ยกมือห้ามแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องวุ่นวายไปหรอก ข้ามาขอคำชี้แนะจากเจ้านายของเจ้าแค่ไม่กี่เรื่องก็จะกลับแล้ว”
ชายชราหอบไปพลางพูดไปพลาง “นายท่านไม่อยู่ในร้านเป็นการชั่วคราว คุณชายมีธุระใด ฝากบอกกับบ่าวก็ได้นะขอรับ”
พูดจบเห็นผิงอวี้นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ชายชราก็พูดขึ้นอีกว่า “สิ่งที่อยู่ในมือคุณชายคือป้ายคำสั่งดั้งเดิมของสำนักฉิน ย่อมต้องเข้าใจระเบียบปฏิบัติของคนสำนักฉิน มีอะไรก็บอกมาได้เลย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอพูดตรงๆ แล้วกัน” ผิงอวี้ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ได้ยินว่านิกายเจิ้นหมัวมีผู้คุมกฎซ้ายผู้หนึ่งที่ไม่เคยเผยโฉมมาตลอดเกือบสิบปี เอาแต่ฝึกฝนวิชาลี้ลับอยู่ในนิกาย ไม่ทราบว่าช่วงที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงชักนำผู้คุมกฎผู้นี้ให้ออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง”
ชายชราผู้นั้นนิ่งฟังจนจบ จู่ๆ ก็ก้มลงไอโขลกสองสามที จากนั้นกำหมัดแล้วทุบหลังตนเองแรงๆ “ผู้คุมกฎซ้ายของนิกายเจิ้นหมัวผู้นี้เก่งกาจนัก ตลอดมามีฐานะสูงส่งกว่าสาวกคนอื่นๆ ในนิกาย เรื่องทั่วไปในนิกายไม่อาจกระทบถึงนางได้ อีกทั้งเก็บตัวมานานเกือบสิบปีแล้ว จะออกมาเคลื่อนไหวบ้างก็มิใช่เรื่องแปลก ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดเหตุขึ้นเสมอไป”
ผิงอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วแสร้งทำเป็นพยักหน้าอย่างจริงจัง “เช่นนั้นไม่ทราบว่ามีกลุ่มอำนาจอื่นใดที่ออกมาเคลื่อนไหวในแถบอวิ๋นหนานบ้างหรือไม่”
ชายชราส่ายหน้าด้วยร่างอันสั่นเทาเนื่องจากอายุที่มากแล้ว “ช่วงนี้พวกเร่ร่อนในอวิ๋นหนานเพิ่งจะสงบลงบ้าง แต่ในแถบนี้ก็ยังไม่ค่อยสงบราบคาบเสียเท่าไรนัก อยู่เฉยๆ ใครเล่าจะรนหาที่เข้ามาก่อเรื่องในอวิ๋นหนาน”
ผิงอวี้หัวเราะหยันในใจ แต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง มองดูชายชราแล้วเอ่ยว่า “ผู้คุมกฎซ้ายของนิกายเจิ้นหมัวปรากฏตัวออกมาอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คุณชายใหญ่แห่งสำนักฉินที่ดึกดื่นแล้วไม่หลับไม่นอน กลับแสร้งปลอมตัวเป็นชายชราที่นี่ ตั้งใจมารอฟังข้าสืบข่าวโดยเฉพาะ ไม่ทราบว่าทำเช่นนี้เพื่อเหตุผลใด”
ชายชราผู้นั้นจึงหยุดทำท่าเหนื่อยหอบทันที
ผิงอวี้เห็นดังนั้นก็พูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “สำนักฉินเชี่ยวชาญในการสืบข่าว ตั้งแต่ก่อนข้าจะเข้ามาในเมือง พวกเจ้าก็คงล่วงรู้ฐานะของข้าแล้ว คาดเดาได้ว่าข้าจะอาศัยป้ายคำสั่งสกุลมู่เพื่อมาถามข่าวคราวที่นี่ จึงแสร้งทำทีเป็นชายชราเบื้อใบ้ ใช้คำพูดล่อหลอกข้าให้สับสนเรื่องราวของนิกายเจิ้นหมัว แต่น่าเสียดาย คุณชายใหญ่สำนักฉินแม้จะแปลงโฉมเก่งกาจเป็นอันดับหนึ่ง ทว่ายังอ่อนด้อยเรื่องการปิดบังอำพรางกำลังภายในอยู่บ้าง”
เสียงหอบเหมือนหายใจไม่ทันในอกของชายชราเงียบลงโดยสิ้นเชิง อากาศในห้องคล้ายแข็งค้างไปทันใด