บทที่ห้า
กองทัพสกุลหร่วนมีกำลังพลสามแสนนาย ชุดเกราะขาวสะท้อนแสงจ้า ดาบตั้งตรงเป็นทิวแถวราวกับต้นไม้ในป่า แต่ละนายล้วนเป็นชายฉกรรจ์ห้าวหาญที่ออกรบเข่นฆ่าศัตรูเมื่ออยู่บนหลังม้า ล่าเสือจับสิงห์ได้เมื่ออยู่บนพื้นดิน ท่ามกลางแสงเจิดจ้าของแดดยามเช้า ทั้งกองทัพดูราวกับทหารสวรรค์ไม่มีผิด
และสายตาเลื่อมใสชื่นชมของทุกคนพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มผู้สูงใหญ่งามสง่าที่อยู่บนแท่นบัญชาการ…หร่วนชิงเฟิง แม่ทัพสงบประจิม ผู้ปกครองชายแดนตะวันตกที่สูงใหญ่ องอาจสง่างาม สมบูรณ์แบบไร้เทียมทาน
“เที่ยงวันนี้ให้เลือกกำลังพลออกมาแปดกองจากสิบแปดทัพย่อยเพื่อทำการซ้อมรบบนเขา” เขากวาดตามองใบหน้าสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือเบื้องล่าง โดยเฉพาะนายกองแต่ละกองที่แบ่งสีธงอย่างชัดเจน แต่ละคนเริ่มม้วนแขนเสื้อทำตาเป็นประกาย หันไปแสยะปากยิ้มใส่กัน
หร่วนชิงเฟิงมองอย่างสนุกสนานพลางนึกชมอยู่ในใจ
สมแล้วที่เป็นทหารที่บิดาของข้าฝึกฝนมา มีแต่พวกหมาป่าดุร้ายที่แค่ได้กลิ่นคาวเลือดเป็นต้องส่งเสียงหอนด้วยความตื่นเต้นทั้งนั้น! เยี่ยมมาก เช่นนี้ข้าชอบ!
“อืม” เขานิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มพลางประกาศเสียงก้อง “ให้พลแคว้นจ้าวคู่กับสายหมวกเกราะ ดาบคู่ใจคู่กับแสงหิมะ อานเงินคู่กับอาชาขาว โผนทะยานคู่กับดาวตก สิบก้าวคู่กับพันลี้”
เขาได้รับคำชมอย่างกว้างขวางว่าเป็น ‘แม่ทัพนักปราชญ์’ เลื่องชื่อของแผ่นดิน แม้อยู่ในวิถีบู๊ก็ไม่ลืมใส่ใจศิลปะ ตอนมาถึงค่ายใหญ่เมื่อวานก็ได้เปลี่ยนชื่อกองทัพจากสิงสาราสัตว์ทั้งหลายให้เป็นคำคู่ในบทกวีโบราณ ‘วิถีผู้กล้า’ แทน
“ขอรับ!”
ทัพพลแคว้นจ้าว ทัพสายหมวกเกราะ ทัพดาบคู่ใจ ทัพแสงหิมะ ทัพอานเงิน ทัพอาชาขาว ทัพโผนทะยาน ทัพดาวตก ทัพสิบก้าว และทัพพันลี้ที่ถูกขานชื่อต่างถูไม้ถูมืออย่างตื่นเต้น
เมื่อวานตอนได้รู้ว่าแม่ทัพใหญ่จะเปลี่ยนชื่อทัพย่อยของพวกตน ทุกคนยังนึกว่าจะเป็นชื่อดุดันน่าเกรงขาม ปรากฏว่าเป็นถ้อยคำเหยาะแหยะในบทกวีที่แสนนุ่มนิ่มราวกับสตรี เช่นนี้เท่ากับจงใจแกล้งกันชัดๆ
แต่เช้าวันนี้ลายมืออันหนักแน่นทรงพลังของท่านแม่ทัพใหญ่มาแขวนอยู่หน้าค่ายของทุกทัพ เขียน ‘วิถีผู้กล้า’ ของเทพกวีหลี่ไป๋ ทุกคนอ่านแล้วเลือดลมฉีดพล่าน อยากเป็นจอมยุทธ์ในบทกลอน แค่ตวัดดาบทีเดียวก็สังหารพวกชนเผ่าอี๋ตะวันตกถ่อยเถื่อนให้แดดิ้นไม่เหลือแม้แต่เสื้อเกราะ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอย่างสาแก่ใจ…ช่างห้าวหาญเหลือเกิน!
“โห ดียิ่งนัก” ซูเสี่ยวเตาที่แอบอยู่หลังแท่นบัญชาการทั้งทึ่งทั้งริษยาพลางบ่นพึมพำ “ข้าอยากไปบ้าง”
แต่นางเป็นทหารดีที่มีความรับผิดชอบ ไม่มีทางลืมหรอกว่าตนเองมีภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการเป็นทหารประจำตัวแม่ทัพใหญ่ นั่นหมายความว่าแม่ทัพใหญ่ไปที่ใดนางก็ตามไปอารักขาที่นั่น…ว่าไปแล้ว เขาจะไปดูการซ้อมรบด้วยหรือไม่นะ
หร่วนชิงเฟิงกำลังคิดกับตนเองอย่างตื่นเต้น ปกติเวลามีเรื่องสนุกระดับนี้…แค่กๆ…มีการซ้อมรบสำคัญ เขาจะต้องไปดูที่สนามซ้อมรบด้วยตนเองทุกครั้ง แต่ตอนนี้มีสาวน้อยแซ่ซูรอให้เขากลับไปดูแลอยู่ในกระโจม เขาจะทิ้งนางไปเล่นสนุกคนเดียวได้อย่างไรกันเล่า
“ตอนนี้แยกย้ายกันไปเตรียมตัวได้แล้ว” เขาหันไปยิ้มสดใสให้รองแม่ทัพ “ท่านอาซื่อ การซ้อมรบเที่ยงวันนี้คงต้องรบกวนให้ท่านช่วยดูหน่อยนะ”
“นี่เป็นหน้าที่ตามตำแหน่งของข้าน้อย มิกล้าให้ท่านซื่อจื่อบอกว่ารบกวนหรอกขอรับ” รองแม่ทัพสูงวัยประสานมือตอบ “ท่านซื่อจื่อเกรงใจกันไปแล้ว”
หร่วนชิงเฟิงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘อาซื่อ’ ตามธรรมเนียมบ้านไม่ใช่ธรรมเนียมกองทัพ ฝ่ายรองแม่ทัพเองก็ตอบในฐานะทหารองครักษ์เก่าแก่ที่เกิดในบ้านสกุลหร่วน
แม่ทัพหนุ่มทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่เห็นได้จากทางหางตาเสียก่อนว่าเจ้าของร่างเล็กบางอ้อนแอ้นสวมชุดออกรบถือดาบเล่มใหญ่ยืนจังก้าอยู่หลังแท่นบัญชาการอย่างไม่สะทกสะท้าน สองตาเหลือบมองไปทางนั้นทีทางนี้ที