เหยียนตี้รินชายื่นส่งให้ถึงมือนางอย่างเงียบเชียบ ก่อนเอ่ยว่า “เจ้ากลัวการขี่ม้าถึงเพียงนี้เชียว?”
เดิมทีเหยียนตี้ยังนึกว่านางเสแสร้ง จนกระทั่งนางสลบอยู่ในอ้อมแขนเขาถึงได้พบว่านางกลัวจริงๆ ยามที่มองเห็นใบหน้าซีดขาวของนาง เขาถึงกับเกิดอารมณ์ที่คล้ายกับรู้สึกผิดละอายใจขึ้นมา
โชคดีที่นางเพียงแต่ตระหนกจนตกประหม่าเกินไป อาการบาดเจ็บมิได้รับผลกระทบเท่าไรนัก
“ข้าเคยตกม้าตอนยังเล็ก ข้าจึงกลัวการขี่ม้ามาก” ฉินโยวโยวบอกไปตามจริง หวังว่าผู้มีพระคุณจะให้ทางรอดแก่นาง อย่าได้บังคับให้นางขี่ม้าอะไรอีก
“ดื่มชาหมดแล้วก็กินของว่างเสียหน่อยเถอะแล้วค่อยนอนต่อ ยามนี้เจ้าอ่อนแอเกินไปแล้ว”
น้ำเสียงเป็นการเป็นงานถึงขนาดว่าเจือแววเดียดฉันท์ของเขาทำเอาฉินโยวโยวปัดความสงสัยต่อเรื่องที่เขาแอบเข้าห้องหญิงสาวยามดึกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
เจ้าคนที่สำรวมกิริยาถึงเพียงนี้ เจ้าว่าเขาเข้าห้องนอนสตรีกลางดึกเพราะคิดจะทำมิดีมิร้ายหรือ!…ฉินโยวโยวรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไปแล้ว บอกว่าเขาไปฆ่าคนกลางดึกยังจะเข้าท่ากว่า
ได้ดื่มชาอุ่นๆ ลงไปอึกหนึ่งก็รู้สึกดีขึ้นมาก ฉินโยวโยวช้อนตาขึ้นมอง พบว่าภายใต้แสงตะเกียงไม่มีคนอยู่ ไม่รู้เหยียนตี้ไปที่ใดแล้ว
นางยังอยากจะถามเขาอยู่เลยว่าที่นี่คือที่ใด อยู่ไกลจากเมืองปาไซ่เท่าไร รวมถึงการเดินทางต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร
พิลึกคนเสียจริง! คงมิใช่เจาะจงมาดูว่าข้าเตะผ้าห่มหรือไม่ตอนกลางดึกหรอกนะ?
เหลียงลิ่งปรนนิบัติเหยียนตี้ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็ออกมาจากห้อง ขณะที่ผ่านหน้าประตูห้องฉินโยวโยวเขาก็หยุดฝีเท้าและมองดูอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
นายท่านถึงกับต้องได้เห็นสตรีนางนี้ฟื้นกับตาตนเอง มั่นใจว่านางไม่เป็นอะไรแน่แล้วถึงได้ยอมกลับห้องไปพักผ่อน ‘เกียรติ’ ระดับนี้ไม่เคยมีใครได้รับมาก่อน นายท่านคิดอย่างไรกับสตรีนางนี้ นับว่าเห็นกันชัดเจนยิ่งแล้ว
เช้าตรู่วันต่อมา ฉินโยวโยวลืมตาขึ้นมองห้องที่ตนเองอยู่ชัดเจนแล้วก็อดจะแอบแลบลิ้นไม่ได้ ห้องที่หรูหราโอ่อ่าเช่นนี้อย่าว่าแต่โรงเตี๊ยมไม่มีทางมีเลย ต่อให้เป็นบ้านคหบดีทั่วไปก็ยังยากจะได้พบเห็น
ตั้งแต่เตียงไม้กฤษณาสลักลายที่นางนอนเมื่อคืนไปจนถึงถาดรองกระเบื้องเคลือบใต้กระถางดอกไม้ข้างหน้าต่าง ล้วนแต่มีความเป็นมาไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
เกรงว่าผู้มีพระคุณท่านนั้นคงเป็นคนในราชวงศ์แคว้นเซียงเยวี่ยจริงๆ นางได้คนเช่นนี้ช่วยเหลือไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ร้ายหรือเคราะห์ดีกันแน่
เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก หลังไต่ถามบอกกล่าวอย่างเคารพนบนอบแล้วก็มีสาวใช้เดินเข้ามาสองนาง
“นายท่านสั่งให้บ่าวมาปรนนิบัติแม่นางแต่งตัวเจ้าค่ะ” บนตัวสาวใช้ทั้งสองเองก็สวมใส่แพรพรรณงดงาม ดูเข้าท่ากว่าแขกในชุดผ้าหยาบอย่างฉินโยวโยวมากนัก
พวกนางนำเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เข้าชุดกันตั้งแต่ชั้นในถึงชั้นนอกรวมถึงบรรดาเครื่องประดับเครื่องประทินโฉมมาด้วย ดูแล้วเรียบง่ายแต่กลับไม่มีชิ้นใดที่ธรรมดาสามัญ ฉินโยวโยวมีความรู้ทางด้านนี้ไม่มาก แต่ก็มองออกว่าบรรดาของเหล่านี้ต้องไม่ใช่ของราคาถูกแน่นอน
ฉินโยวโยวพิจารณากับตนเองแล้วก็เห็นว่าตนเป็นเพียงคนเคราะห์ร้ายที่เหยียนตี้ช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำ เขามีเงินมากเกินไปจึงไม่สนใจ หรือว่ามีแผนจะทำอะไรกับนางกันแน่ นางรีบปลีกตัวไปโดยเร็วดีกว่า
“ที่นี่คือที่ใด ไกลจากเมืองปาไซ่หรือไม่ เมื่อวานข้ามาถึงเวลาใด” ฉินโยวโยวถาม
“ที่นี่เรียกว่าเมืองปากุย พวกบ่าวเพิ่งถูกส่งตัวมาที่นี่เมื่อเช้านี้ เรื่องอื่นล้วนมิทราบแน่ชัด อีกประเดี๋ยวแม่นางพบนายท่านแล้วก็จะได้ทราบเองเจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองยิ้มตาหยี ถามมาก็ตอบไป ทว่ามีแต่น้ำเป็นหลัก
ฉินโยวโยวถามต่อไม่กี่คำก็คร้านจะถามอีก ปิดปากเงียบแล้วปล่อยให้พวกนางจับแต่งตัว พวกนางมิใช่ไม่รู้เรื่องจริงๆ เสียหน่อย เพียงแต่ได้รับคำสั่งว่าห้ามพูดมากเท่านั้น
ช่างเถอะ พวกเขาชอบทำตัวลึกลับก็ปล่อยพวกเขาไปแล้วกัน! อีกประเดี๋ยวนางได้พบเหยียนตี้ก็จะเอ่ยเรื่องแยกจากเขาแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป