ฉินโยวโยวรู้ว่าสถานการณ์ในยามนี้เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับตนเอง เห็นทีบุรุษผู้เคร่งขรึมที่ทั้งวันดูไร้อารมณ์ความรู้สึกผู้นั้นจะเก่งมากจริงๆ โชคดีที่นางได้เขาช่วยเหลือเอาไว้ มิเช่นนั้นเวลานี้นางคงได้ตกอยู่ในเงื้อมมือเฟิงกุยอวิ๋นไปแล้ว คิดได้เช่นนี้ความซาบซึ้งใจที่มีต่อเหยียนตี้ก็เพิ่มมากขึ้นหลายส่วน พอจะข่มความขุ่นเคืองต่อเรื่องที่เขาริบทรัพย์สินส่วนตัวของนางตามอำเภอใจลงได้
นับตั้งแต่วันที่ ‘แยกกันโดยไม่ดี’ วันนั้น นางก็ไม่ได้เห็นเหยียนตี้อีกหลายวัน จึงได้แต่พักฟื้นอย่างสงบใจ ถึงอย่างไรสภาพนางในตอนนี้นอกจากกินยาและนอนหลับอย่างว่าง่ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
ครั้นฉินโยวโยวลงจากเตียงมาเดินเหินได้ เรือก็ใกล้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว…ท่าเรือซานไถที่ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนแคว้นตัวลี่และแคว้นเซียงเยวี่ย เปลี่ยนมาเดินทางทางบกผ่านเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นเซียงเยวี่ยจากที่นี่ไม่ถึงร้อยหลี่ ก็จะเป็นเมืองปาไซ่สถานที่นัดพบของนางกับสัตว์วิเศษทั้งสองตัว
พอคิดว่ากำลังจะหนีพ้นจากสถานที่เสี่ยงอันตรายอยู่ประเดี๋ยวนี้แล้ว และบางทีอีกไม่นานน่าจะได้พบกับสัตว์วิเศษทั้งสอง ฉินโยวโยวก็อารมณ์ดียิ่งนัก นางคิดหาโอกาสอันเหมาะสมเพื่อเอ่ยปากขอสิ่งของของตนคืนจากเหยียนตี้อีกครั้ง จากนั้นก็ไปหาสหายเก่าของอาจารย์ ตาเฒ่าที่ได้ฉายาว่า ‘จอมแพทย์’ ผู้นั้น ดูว่าเขาจะคลายฤทธิ์ยาลูกกลอนสลายพลังให้นางได้หรือไม่
พลังปราณในกายนางยังคงอยู่ เพียงแต่กระจัดกระจายไปตามกระดูกตามชีพจร ไม่อาจดึงมารวมกันให้เรียกใช้ได้ สภาพเช่นนี้นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย ทว่ายาแก้พิษจำต้องหาให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิเช่นนั้นหากพลังปราณที่กระจัดกระจายมิอาจกลับไปรวมที่จุดตันเถียน ได้อีกครั้ง ภายในหนึ่งปีก็จะค่อยๆ สลายไป ถึงเวลานั้นก็หมดทางช่วยแล้วจริงๆ
“นายท่านผู้นั้นให้ข้ามาเชิญแม่นางไปบนดาดฟ้าเรือ อีกไม่นานเรือก็จะเทียบท่าแล้ว” คนเรือหญิงยิ้มตาหยีพลางกล่าว พอพวกเหยียนตี้ทั้งคณะลงจากเรือไป การเดินทางครั้งนี้ก็นับว่าสิ้นสุด ทองหลายสิบแผ่นนั้นก็จะนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าพวกตนแล้ว จำนวนนั้นเท่ากับรายได้ของพวกตนถึงสองเดือนเลย
มิหนำซ้ำในใจคนเรือสองสามีภรรยาตลอดจนเหล่าฝีพายที่เป็นคนงานล้วนหวาดกลัวพวกเหยียนตี้อยู่บ้าง ทุกครั้งที่เห็นเขาก็จะรู้สึกสองขาอ่อนยวบ ไม่กล้าหายใจแรง หลายวันมานี้ทำให้พวกเขาทรมานมากพอแล้ว
“ดีเลย!” ฉินโยวโยวยิ้มพลางตอบรับ นางกำลังคิดจะหาโอกาสไปขอ ‘คลังอาวุธ’ ของตนคืนจากเหยียนตี้อยู่พอดี
ฉินโยวโยวเดินอาดๆ ไปถึงดาดฟ้าเรือ นางมองเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ไม่กี่คนกำลังสนทนากันได้จากที่ไกลๆ จากนั้นนางก็นึกถึงปัญหาใหญ่ข้อหนึ่ง…นางจำไม่ได้แล้วว่าคนใดคือ ‘ผู้มีพระคุณ’ ของนาง
นางจำได้เพียงว่าคนผู้นั้นดูจะเป็นชายหนุ่มร่างสูงกำยำและมีท่าทางเคร่งขรึม ทว่าไม่กี่คนตรงหน้านี้ล้วนดูเหมือนกันไปหมดในสายตานาง…
ฉินโยวโยวลังเลในใจ ฝีเท้าก็ผ่อนช้าลง หากเกิดทักผิดคนขึ้นมา เช่นนั้นก็เสียมารยาทเกินไปแล้ว
เหยียนตี้มองดูฉินโยวโยวเดินมาใกล้ แม้เรือนร่างอรชรบอบบางของนางจะอยู่ในชุดหยาบตัวโคร่งซึ่งทำขึ้นอย่างง่ายๆ ของคนเรือหญิง ทว่านางกลับมิได้ดูซูบซีดมอซอ แต่กลายเป็นว่าเสื้อผ้าซอมซ่อตัวนั้นยิ่งขับเน้นจนนางดูสะดุดตายิ่งกว่าเดิม ประหนึ่งเป็นไข่มุกบนกองกรวด ชวนให้พินิจพิสมัยเป็นพิเศษ
คนงามหยาดเยิ้มเช่นนี้ ใครเห็นก็ล้วนจะรู้สึกว่านางสมควรสวมใส่แพรพรรณชั้นดี กินดีอยู่ดีในเรือนอันอบอุ่นมั่งคั่ง หาใช่มาระเหเร่ร่อนตรากตรำกรำแดดอยู่กลางทุ่งนาป่าเขา
เหยียนตี้พลันนึกเสียใจอยู่บ้าง เขาไม่ควรเรียกนางออกมาเลย ต่อให้ออกมาแล้วก็ต้องบังนางไว้ให้มิดชิดจึงจะใช้ได้…องครักษ์ไม่กี่คนนี้ที่ข้างเขาถึงกับกำลังแอบมองนาง
ทว่าแววตาที่นางมองเขานี่มันอะไรกัน!