ฉินโยวโยวแอบตะลึงจนพูดไม่ออก เห็นองครักษ์สิบสองคนนี้แล้ว เกรงว่าคนที่มีฝีมือน้อยที่สุดก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างน้อยขั้นห้าขึ้นไป ตอนอยู่ที่ท่าเรือซานไถก่อนหน้านี้ก็เห็นแสดงฝีมือแค่เพียงสี่คน นางยังแอบสงสัยอยู่เลยว่าเหยียนตี้ใช่ส่งคนที่มีฝีมือร้ายกาจที่สุดออกมาหรือไม่ ตอนนี้ถึงได้แน่ใจว่าระดับความสามารถในตัวคนของเขาสูงถึงเพียงนี้จริงๆ!
ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปในใต้หล้านี้ ตั้งแต่ขั้นหกลงมาล้วนเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ แต่ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ในแต่ละขั้นกลับมีมากจนน่าตกใจ
บัดนี้ราษฎรของแต่ละแคว้นรวมกันก็มีอย่างน้อยเป็นพันๆ ล้านคน สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งถึงสามรวมกันก็มีอย่างน้อยหลักล้าน ทหารระดับสูงจำนวนมากก็ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ คนหนึ่งสามารถสู้กับชายฉกรรจ์ธรรมดาได้หลายคนถึงหลายสิบคน
ผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่ขั้นสี่ขึ้นไปได้รับการเรียกขานว่า ‘ผู้ต้านร้อย’ ฝึกตนมาได้จนถึงขั้นนี้ก็เรียกเป็นยอดฝีมือได้แล้ว ผู้ฝึกตนมีจำนวนหลักล้านแต่ที่สามารถบรรลุถึงขั้นสี่ขึ้นไปได้กลับมีไม่ถึงหนึ่งในร้อย นับรวมทั้งหมดแล้วก็มีไม่ถึงหมื่นคน
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขึ้นไปเป็นผู้เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถที่แต่ละแคว้นต่างก็แย่งตัวกัน ตำแหน่งที่ดีและเบี้ยหวัดอย่างงามแทบจะวางกองอยู่ตรงหน้า ที่อยู่ขั้นห้าขึ้นไปยิ่งพบเห็นได้ยากยิ่ง แต่คนเช่นนี้กลับยินยอมพร้อมใจทำงานให้เหยียนหย่งเล่อผู้นี้…ฉินโยวโยวแอบคิด นี่คงมิใช่ชินอ๋องอะไรนั่นกระมัง
เสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำตัวหนาพลันคลุมลงบนไหล่ฉินโยวโยว สกัดกั้นสายลมราตรีที่เย็นน้อยๆ ไว้ด้านนอก เหยียนตี้ผูกเสื้อคลุมให้นางด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติยิ่งจนเสร็จแล้วก็จูงมือนาง ค่อยๆ พาเดินออกนอกลานเรือน
“ตอนนี้เจ้าเล่าเรื่องของสกุลเหวินมาได้แล้ว” เหยียนตี้กล่าวออกมา
ฉินโยวโยวรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไฉนผู้มีพระคุณปีศาจไม่ถามความเห็นข้าก็แสดงกิริยาใกล้ชิดสนิทสนมกับข้าเพียงนี้แล้วเล่า ทว่า…คนเขาดูเหมือนจะทำไปด้วยเจตนาดี คงไม่ได้กำลังเอาเปรียบข้าแต่อย่างใด
หรือข้าดูตัวเล็กน่าเอ็นดูอย่างมาก ทำให้เขานึกถึงน้องสาวหรือไม่ก็ญาติฝ่ายหญิงคนอื่นของเขาขึ้นมาจนพลอยเอ็นดูมาถึงข้าด้วย?
“ไฉนจึงไม่พูดเสียเล่า” เหยียนตี้เห็นฉินโยวโยวเงียบก็เอ่ยถามอีก
ก็ได้ คนเขาคิดแต่เรื่องงานจริงจัง ไม่ได้คิดนอกลู่นอกทางโดยสิ้นเชิง เป็นข้าที่คิดมากไปเอง
ฉินโยวโยวพยายามมองข้ามความรู้สึกพิกลที่ปรากฏในก้นบึ้งหัวใจไป จัดเรียงความทรงจำเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “เหวินเฟิงเซิ่งเป็นบุตรหลานสายรองของสกุลเหวิน สายของเขาเดิมทีก็มีอำนาจอยู่ในตระกูล ยี่สิบปีก่อนประมุขสกุลเหวินใช้อุบายบางอย่างเอาชนะบิดาของเหวินเฟิงเซิ่งในการประลองของตระกูล ต่อมาบิดาของเขาตลอดจนศิษย์ที่โดดเด่นอีกหลายคนก็พากันตายไปอย่างไม่รู้สาเหตุ สายของพวกเขาจึงเสื่อมอำนาจลงในทันที เหวินเฟิงเซิ่งเองก็ถูกไล่มาอยู่ที่เมืองปาไซ่ นับเป็นการเนรเทศในอีกทางหนึ่ง”
เล่าถึงตรงนี้ ฉินโยวโยวก็ถอนหายใจ “อาจารย์บอกว่ายังดีที่บิดาเหวินเฟิงเซิ่งเป็นคนฉลาด สั่งสอนให้เหวินเฟิงเซิ่งเก็บงำความสามารถมาโดยตลอด คนอื่นในสกุลเหวินล้วนคิดว่าเขามีความสามารถแค่ขั้นทั่วไป มิเช่นนั้นเขาจะต้องถูกคนกำจัดจนสิ้นซากเหมือนกับบรรดาศิษย์พี่ของเขาแน่นอน”
“ดังนั้นอาจารย์ของเจ้าจะต้องเคยสอนเจ้าแน่นอนว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นก็อย่าเผยความสามารถที่เขาสอนแก่เจ้าให้ผู้อื่นเห็น ทว่าเจ้าไม่เชื่อฟัง” แค่เหยียนตี้เปิดปากก็พูดตรงจุดสำคัญทันที
ช่างเป็นปีศาจจริงๆ! ฉินโยวโยวเบะปาก นางสงสัยแล้วว่าตนเองใช่คิดอะไรก็แสดงออกมาบนใบหน้าทั้งหมดหรือไม่
“ว่าต่อสิ”
“ท่านมิใช่คาดเดาได้ทุกเรื่องหรือไร” ในถ้อยคำของฉินโยวโยวมีแววเจ็บใจอยู่ ทว่าเพียงไม่นานนางก็ยอมจำนนต่อสายตาของเหยียนตี้
ตอนนี้ยังต้องอาศัยคนเขาอยู่ ข้าต้องอดทนต่อไป!