ที่ธรรมดาทั่วไปก็คือรูปร่างหน้าตาเป็นปกติ อะไรควรอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ส่วนที่มีเอกลักษณ์ก็ตัวอย่างเช่นรอยบากขนาดใหญ่บนหน้าเยี่ยหรูเหนียน ผมขาวคิ้วขาวของเหลียงลิ่ง อันที่จริงหน้าอันไร้ความรู้สึกของผู้มีพระคุณปีศาจก็นับว่าใช่ ทว่าข้างกายเขามีลูกน้องที่ตัวสูงใหญ่ทั้งยังใบหน้าไร้ความรู้สึกเหมือนกันอยู่จำนวนมาก หากพวกเขาสวมเสื้อผ้าคล้ายๆ กันแล้วมายืนอยู่ด้วยกัน นางก็แยกไม่ออกอยู่บ้าง
“ก็ตามนั้นแหละ แย่กว่าเทียนเล่อจนเทียบไม่ติด!” ต้าจุ่ยพูดอย่างดูแคลน
“อืม ข้าก็ว่าเช่นนั้น อาจารย์หน้าตาดีที่สุดแล้ว” ความเทิดทูนที่ฉินโยวโยวมีต่ออาจารย์ย่อมไม่ต้องการเหตุผล
ฉีเทียนเล่อไม่รู้นึกอย่างไรถึงได้กรอกความคิดว่าอาจารย์เป็นบุรุษแสนดีอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้นางตั้งแต่เล็ก จนทำให้ศิษย์หญิงเพียงคนเดียวมีมาตรฐานการพิจารณาเพศตรงข้ามที่พิลึกพิลั่นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดว่าสัตว์วิเศษทั้งสองตัวที่สัมผัสคลุกคลีกับพวกเขาศิษย์อาจารย์เป็นประจำยังพลอยได้รับความคิดนี้ไปไม่น้อย
หนึ่งคนหนึ่งนกพูดคุยกระซิบกระซาบ โดยมิรู้เลยว่าแต่ละคำแต่ละประโยคพวกนั้นล้วนถูกเหยียนตี้ที่หูไวตาไวได้ยินจนหมดสิ้นแล้ว กระทั่งเหลียงลิ่งที่ข้างกายเขาก็ยังได้ยินชัดเจน
เหลียงลิ่งมองดูหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของนายท่าน แม้จะอยากหัวเราะเพียงใดเขาก็ไม่กล้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนวิจารณ์รูปโฉมของนายท่านในแง่ลบเพียงนี้ หากกล่าวอย่างเป็นธรรม ถ้านายท่านไม่เอาแต่ทำใบหน้าไร้ความรู้สึกตลอดทั้งวัน นายท่านต้องทำให้สตรีในใต้หล้าหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้นแน่นอน…เว้นก็แต่ตัวประหลาดข้างหลังที่จนถึงตอนนี้ก็ยังจดจำใบหน้าของนายท่านไม่ค่อยได้ผู้นั้น
“ออกเดินทาง” เหยียนตี้สั่งเสียงแข็ง สะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินกลับไปข้างรถม้า
ฉินโยวโยวเปลี่ยนมาทำสีหน้าน่ารักว่าง่าย นางก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรอย่างรวดเร็ว ต้าจุ่ยที่อยู่บนบ่าโผกระพือปีกบินไปเหลียวซ้ายแลขวาบนหลังคารถม้า เหลือเพียงเสี่ยวฮุยนอนกรนครอกๆ อยู่ในอ้อมแขนนางด้วยท่าทางอันใหญ่โต
ไม่รู้จะพูดอย่างไรเลยจริงๆ! เหยียนตี้ยิ้มเย็นในใจ ภายนอกยังคงไม่เปิดเผยความรู้สึก
ภายในรถม้าอันแสนสบาย หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีต่างใช้ความเงียบสู้กัน ตรงกลางแทรกด้วยกระต่ายอ้วนที่หลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ฉินโยวโยวรู้สึกว่าบรรยากาศในยามนี้ออกจะอึดอัดกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากอธิบาย “เสี่ยวฮุยอายุยังน้อย ทุกวันจึงนอนนานอยู่สักหน่อย”
“นี่เป็นสัตว์วิเศษหรือเป็นสัตว์เลี้ยง” ถ้อยคำราบเรียบที่ออกมาจากปากของเหยียนตี้ดูคมกริบเป็นพิเศษ
ฉินโยวโยวตัดสินใจหยุดพูดแต่เพียงเท่านี้ มิเช่นนั้นนางคงทนไม่ไหวจนเผลอโมโหใส่เหยียนตี้ ตอนนี้ยังต้องอาศัยคนเขาอยู่ ต้องอดทน!
เห็นได้ชัดว่าเหยียนตี้ไม่สนใจจะคุยเรื่องสัตว์วิเศษที่ในสายตาเขาเห็นว่านอกจากกินเก่งนอนเก่งแล้วก็ไม่มีอะไรได้เรื่องได้ราวต่ออีกเช่นกัน “คนสกุลเหวินทราบเรื่องของเหวินเฟิงเซิ่งไม่มาก ที่พวกเขาส่งยอดฝีมือมาเมืองปาไซ่เป็นเพราะได้รับข่าว รู้ว่าอาจารย์เจ้ากับเหวินเฟิงเซิ่งมีความสัมพันธ์ส่วนตัวต่อกันไม่เลว จึงคิดจะควบคุมตัวเหวินเฟิงเซิ่งไว้เพื่อเค้นถามเรื่องอาจารย์เจ้า ผลคือ…พวกเขามาถึงก็พบว่าเหวินเฟิงเซิ่งที่ประกาศปิดด่านกักตัวไปก่อนหน้านั้นอันที่จริงได้หายตัวไปนานแล้ว พวกเขาไปสืบข่าวในบริเวณใกล้ๆ ถึงได้จับสัตว์วิเศษของอาจารย์เจ้าไว้ได้โดยไม่คาดฝัน”
“ตอนอาจารย์พาข้ามาเยี่ยมเหวินเฟิงเซิ่งก็ไม่ได้บอกฐานะของตนเองสักหน่อย” ที่ฉินโยวโยวคิดไม่ตกก็คือจุดนี้ ห้าปีก่อนอาจารย์เพียงแต่ใช้ฐานะพ่อค้ามั่งคั่งธรรมดาผู้หนึ่งมาเยี่ยมเยียน ทั้งสาขาสกุลเหวินก็มีเพียงเหวินเฟิงเซิ่งคนเดียวที่รู้ฐานะของพวกนาง อาจารย์มิใช่คนชอบโอ้อวดมาแต่ไหนแต่ไร มักจะอาศัยวิชาแปลงโฉมอันเหนือชั้นโดยใช้ใบหน้าต่างๆ มาพบผู้คน แล้วคนสกุลเหวินรู้ได้อย่างไรว่าพ่อค้าธรรมดาที่พาแม่นางน้อยออกจากบ้านมาด้วยผู้นั้นคือมือเทพเนรมิตฉีเทียนเล่อผู้โด่งดัง
“ราวหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ สำนักเฟิ่งเสินได้วาดภาพเหมือนของอาจารย์เจ้าขึ้นมา และส่งคนออกค้นหาที่อยู่ของเขาไปทั่วสารทิศเป็นการลับ พักก่อนสกุลเหวินบังเอิญได้ไปภาพหนึ่ง ทั้งยังคัดลอกแล้วแจกจ่ายไปตามสาขาแต่ละแห่งอย่างลับๆ ทางเมืองปาไซ่เองก็ได้รับมาเช่นกัน เหวินเฟิงเซิ่งประกาศปิดด่านกักตัว ยามนั้นพ่อบ้านที่ดูแลงานในสาขาแทนก็ได้เห็นภาพเหมือนเข้า” เหยียนตี้พูดถึงตรงนี้ เรื่องราวหลังจากนี้ก็ไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว
องครักษ์ของเหยียนตี้ค้นได้ภาพเหมือนภาพนั้นมาจากคฤหาสน์สกุลเหวิน เมื่อคืนเขาก็ได้เห็นกับตา และเพราะว่าได้เห็นแล้วถึงได้โมโหเป็นพิเศษ สารรูปเช่นนั้นของฉีเทียนเล่อ สาวน้อยที่ตาไร้แววนี่ถึงกับบอกว่า ‘หน้าตาดีที่สุด’ ซ้ำยังคิดเห็นเหมือนกับเจ้านกทึ่มที่ตามีปัญหาตัวนั้นว่าฉีเทียนเล่อหน้าตาดีกว่าเขาอีก!
มีอย่างที่ไหนกัน! ช่างดูหมิ่นกันเกินไปแล้ว!