ในอดีตเหยียนตี้รู้สึกว่าบุรุษที่ใส่ใจในรูปโฉมของตนเองเกินไปต่อให้ไม่ใช่พวกมีท่าทางนุ่มนวลก็ต้องเป็นพวกดีแต่รูป ทว่าคราวนี้เขายากที่จะไม่ใส่ใจ
ฉินโยวโยวไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าตนเองได้ ‘ดูหมิ่นความงามของเหยียนตี้’ เข้าแล้ว นางยังคงโมโหแค้นใจว่าคนสำนักเฟิ่งเสินช่างชั่วช้านัก แต่ขณะเดียวกันก็โล่งใจแทนสหายเก่า “เช่นนี้ก็หมายความว่าคนสกุลเหวินยังไม่ทราบเรื่องของเหวินเฟิงเซิ่ง?”
“ไม่ผิด คนสำนักเฟิ่งเสินตามหาตัวอาจารย์เจ้าด้วยเหตุใด” เหยียนตี้ถาม
ฉินโยวโยวกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากตอบคำถามนี้ นางอยากโกหกไปให้พ้นๆ ตัว แต่พอนึกถึงความร้ายกาจของผู้มีพระคุณปีศาจแล้วก็เกิดลังเลขึ้นมา
เหยียนตี้เองก็ไม่ซักไซ้อะไรอีก เพียงมองฉินโยวโยวนิ่งๆ จนนางขนลุกซู่
“ฮ่องเต้แคว้นตัวลี่อยากให้อาจารย์ข้าสร้างสุสานให้” ฉินโยวโยวตัดสินใจทำตามกฎเดิม…พูดเพียงครึ่งเดียว
เหยียนตี้ไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่ายเพียงนั้น เขาโคลงศีรษะช้าๆ ก่อนเอ่ยว่า “ฮ่องเต้แคว้นตัวลี่อายุเก้าสิบหก มีตบะระดับยอดยุทธ์ขั้นแปด อาศัยอยู่ในวังไร้โรคภัยไข้เจ็บ ต่อให้อยู่ไม่ถึงสามร้อยปี อย่างน้อยก็ต้องถึงสองร้อยห้าสิบปี สองปีก่อนเขาเพิ่งเลือกสถานที่เริ่มสร้างสุสานหลวง สุสานหลวงมีขนาดใหญ่โตยิ่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นห้าสิบปีถึงจะสร้างเสร็จ ตามหลักแค่บุกเบิกเขาเจาะถ้ำก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นสิบปีแล้ว ไยต้องรีบหาที่อยู่ของอาจารย์เจ้าเร็วเพียงนี้”
ปีศาจ! ฉินโยวโยวถูกสายตาที่มองเห็นได้ชัดแจ้งแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ ของเหยียนตี้ทำเอาจนใจ เดิมนางยังอยากแกล้งโง่ต่อ แต่อีกฝ่ายก็ช่างมีน้ำอดน้ำทนเสียเหลือเกิน ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกซักไซ้แม้แต่กระผีกเดียว บรรยากาศภายในห้องเล็กๆ นี้จึงกดดันอย่างยิ่ง
เพียงฉินโยวโยวคิดว่าหลังจากนี้นางยังต้องนั่งร่วมรถกับเขาไปอีกนานก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นท้อแท้
“ตอนพวกเขาขุดสุสานบังเอิญค้นพบคลังสมบัติที่ราชันยุทธ์ในสมัยโบราณเหลือทิ้งเอาไว้ ในบรรดาสมบัติพวกนั้นมีแบบร่างอาวุธโจมตีเมืองขนาดใหญ่อยู่สามฉบับ น่าเสียดายที่ชำรุดหนักจนมองจุดสำคัญหลายจุดไม่ออกแล้ว ตามข้อความที่ใช้อธิบายประกอบแบบร่าง อาวุธโจมตีเมืองเหล่านี้มีอานุภาพไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นตัวลี่จึงขอให้สำนักเฟิ่งเสินตามหาตัวอาจารย์ข้าโดยไม่ต้องเสียดายค่าตอบแทน เพื่อให้อาจารย์ซ่อมแซมแบบร่างสามฉบับนั้นให้พวกเขา” ฉินโยวโยวเห็นว่าปิดบังไม่ได้ก็บอกเล่ามาอย่างคร่าวๆ เสียเลย
คิดในอีกมุมหนึ่ง ผู้มีพระคุณปีศาจช่วยนางไว้ก็เท่ากับช่วยตนเอง หากเขาปล่อยให้คนของแคว้นตัวลี่จับนางไปได้จริงๆ เกิดนางทนไม่ไหวช่วยซ่อมแซมแบบร่างสามฉบับนั้นให้พวกเขา ถึงตอนนั้นแคว้นตัวลี่จะต้องสร้างอาวุธกลไกเหล่านี้ออกมาเป็นการใหญ่เพื่อเล่นงานแคว้นเซียงเยวี่ยที่เป็นอริเก่าแก่แน่นอน
เหยียนตี้ค่อนข้างพอใจต่อคำตอบนี้ ในที่สุดเขาก็มีเมตตาไม่ใช้อำนาจกดดันคนอีก
เสี่ยวฮุยที่นอนหลับสบายอยู่บนตักฉินโยวโยวพลันพลิกตัว ขาทั้งสี่เตะขึ้นฟ้าสองสามที ทำปากแจ๊บๆ พึมพำว่า “แพะทะเลน้ำแดง ไก่หงอนม่วงตุ๋นฟักทอง…โยวโยว ข้าอยากกินตัวนิ่มเงินนึ่ง แล้วก็สุราน้ำผึ้งร้อยทรัพย์…”
ตัวตะกละนี่! ฉินโยวโยวรู้สึกขายหน้าอย่างมาก นางหัวเราะแห้งๆ สองทีก่อนอธิบายอย่างเสียแรงเปล่า “เสี่ยวฮุยยังเล็ก ต้องกินให้มากหน่อยถึงจะโต”
“ปกติเจ้าก็ให้มันกินของเหล่านี้?” เหยียนตี้ไม่เห็นเป็นเช่นนั้น
ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วจริงๆ! ต่อให้อยู่ภายในวังหลวง ยามปกติยังหาของเหล่านี้กินไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับเอามาเลี้ยงสัตว์วิเศษที่ไร้ประโยชน์ตัวหนึ่ง
“ใช่แล้ว เสี่ยวฮุยกับต้าจุ่ยล้วนชอบมาก” ฉินโยวโยวไม่รู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มีปัญหาอะไรสักนิด พวกนางสองศิษย์อาจารย์ไม่เคยขาดแคลนเงินทอง ทั้งยังเห็นสัตว์วิเศษทั้งสองเป็นสมาชิกในครอบครัว ขอเพียงทุกคนและทุกตัวยินดีก็พอแล้ว ไม่มีทางไปคิดเรื่องราคาสูงหรือต่ำ
สายตาเหยียนตี้เลื่อนไปตกบนตัวกระต่ายอ้วนที่ดูไม่ได้และไร้ประโยชน์ตัวนั้น ก่อนให้คำวิจารณ์ออกมาสองพยางค์อย่างถูกต้องแม่นยำ “สิ้นเปลือง!”
ฉินโยวโยวกัดฟันกรอด แต่ยังคงนึกถึงคำพูดประโยคนั้น ตอนนี้ยังต้องอาศัยคนเขาอยู่ ทนอีกหน่อยเถอะ!