อีกด้านหนึ่ง หลังเหยียนตี้ปล่อยฉินโยวโยวไปพักผ่อนแล้วก็ตรงเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮาและฮ่องเต้ ประจวบเหมาะว่าฮ่องเต้ก็อยู่ในวังของไทเฮาพอดี สองแม่ลูกกำลังสนทนากันอย่างออกรส ครั้นได้ยินว่าเซิ่งผิงชินอ๋องมาขอเข้าเฝ้าทั้งสองก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนสั่งให้ขันทีรีบไปเชิญเขาเข้ามา ทั้งยังไล่ผู้ติดตามออกไป และเหลือเพียงสามแม่ลูกสนทนากัน
พอไทเฮาเห็นเหยียนตี้ก็ชิงเอ่ยถามขึ้นก่อนโดยไม่รอให้เขาถวายบังคม “ได้ยินว่าเจ้าพาหญิงสาวนางหนึ่งกลับมาด้วย ทั้งยังจูงมือเดินเข้าจวนมาอย่างสนิทสนมอบอุ่น แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นบุตรสาวจากตระกูลใด รูปโฉมงามหรือไม่ นิสัยเป็นเช่นไร”
“รอทุกอย่างแน่นอนแล้ว ลูกจะพานางมาให้เสด็จแม่ทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง” เหยียนตี้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าไม่แคล้วต้องถูกมารดาถามถึงเรื่องที่เขาพาฉินโยวโยวกลับมาเมืองหลวง
เหยียนตี้พลันนึกถึงภาพที่ฉินโยวโยวถูกเขาบังคับลากเข้าจวนอ๋องด้วยท่าทางหวาดผวาประหนึ่งถูกคุมตัวขึ้นลานประหาร มีตรงไหนที่ดูสนิทสนมอบอุ่นกันเล่า ทว่าหลายปีมานี้เขาล้วนเอาแต่เผยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่เคยเข้าใกล้สตรี ซ้ำฉินโยวโยวก็คาดผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ทำให้มองเห็นสีหน้ารูปโฉมของนางได้ไม่ชัด หน่วยสอดแนมที่มารายงานจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก
ไทเฮาร้อนใจจนทนไม่ไหว อยากจะเคลื่อนขบวนไปจวนเซิ่งผิงชินอ๋องใจแทบขาด เพื่อพินิจดูฉินโยวโยวอย่างละเอียดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “ยังต้องรออะไรอีก จัดการให้แน่นอนเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย จะได้ให้คนไปรับตัวนางเข้าวัง!”
เหยียนตี้มองไปยังฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาซึ่งกำลังยิ้มแย้มดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง
ฮ่องเต้รีบกระแอมกระไอสองทีก่อนกล่าวโน้มน้าว “เสด็จแม่ทรงรออีกสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ หย่งเล่ออุตส่าห์รู้จักพาสตรีกลับจวนทั้งที หากทำให้นางตกใจจนหนีไปจะแย่เอา”
ไทเฮาแค่นเสียงกล่าวว่า “กระทั่งใบหน้าพญายมของเขายังไม่อาจทำให้แม่นางผู้นั้นตกใจหนีไปเลย ข้าหรือจะน่ากลัวเพียงนั้น!”
สองแม่ลูกโต้ตอบกันโดยไม่มีถ้อยคำน่าฟังแม้แต่ครึ่งประโยค เหยียนตี้ที่เคยชินมานานแล้วจึงได้แต่ทำสีหน้าเฉยเมยปราศจากอาการตอบสนอง
ไทเฮารู้สึกหมดสนุกอย่างมาก นางจึงแค่นเสียงเอ่ยว่า “ในจวนเจ้าไม่มีแม้แต่สาวใช้เลยสักคน อย่าได้รับรองคนเขาไม่ดี เจ้าเลือกนางกำนัลที่เฉลียวฉลาดคล่องแคล่วกลับไปหลายๆ คนหน่อยเถอะ แล้วก็เลือกนางข้าหลวงพี่เลี้ยงที่มากประสบการณ์ไปคอยรับใช้ด้วยอีกสักสองคน เท่านี้ก็น่าจะใช้ได้แล้ว”
“ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ…ลูกเตรียมการไว้แล้ว” คำคัดค้านของเหยียนตี้แทบจะโพล่งออกมาจากปากในทันที
เหยียนตี้จำต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาก็เคยคิดจะจัดนางข้าหลวงระดับครูฝึกไปอบรมกฎระเบียบมารยาทในราชวงศ์แก่ฉินโยวโยว แต่เท่าที่อยู่ด้วยกันมา เขาพบว่าตนเองชอบนางที่แม้จะเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจ แต่ก็ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาตรงไปตรงมามากกว่า เขาไม่อยากให้นางเปลี่ยนมาอยู่ในกรอบระเบียบจนดูเรียบร้อยไร้ความน่าสนใจ กระทั่งมิต่างจากสตรีตระกูลสูงศักดิ์คนอื่น
ไทเฮาถลึงตาใส่เขา “ทำไมรึ กลัวว่าคนที่แม่ส่งไปจะกินหัวของยอดดวงใจเจ้าหรือไร”
“พ่ะย่ะค่ะ” เหยียนตี้ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังใบหน้าไร้ความรู้สึก ทำเอาไทเฮาสะอึกไปในทันใด ส่วนฮ่องเต้ก็หัวเราะได้อย่างไร้ความน่าเกรงขามโดยสิ้นเชิง
“เจ้ามันเลี้ยงเสียข้าวสุก!” ไทเฮาพูดอย่างอึดอัดคับข้องใจ
ฮ่องเต้หัวเราะเสร็จก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าตกลงปลงใจว่าเป็นนางแล้ว? จะรีบเกินไปหน่อยหรือไม่”
เหยียนตี้ใคร่ครวญอย่างตั้งใจก่อนพยักหน้าตอบว่า “เป็นนางแล้ว อีกสองเดือนข้าจะพานางไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่เขตหวงห้าม แต่งงานอย่างเป็นทางการ”
“ว่าอะไรนะ!” ไทเฮาเองก็ไม่สนใจจะโมโหแล้ว นางยืดตัวตรงมองมายังเหยียนตี้ทันที สีหน้าจริงจังน่าครั่นคร้ามอย่างบอกไม่ถูก มีเพียงเวลานี้ที่มองออกได้ง่ายดายว่าอันที่จริงรูปโฉมและบุคลิกท่าทางของนางกับเหยียนตี้นั้นคล้ายกันอย่างมาก