ฉินโยวโยวชอบดูภาพงดงามตระการตาตอนที่ดอกไม้ไฟผลิบานกลางท้องฟ้ายามราตรีอย่างยิ่ง ทว่าเวลานี้นางกลับยินยอมจะนั่งเป็นเพื่อนเหยียนตี้อยู่ภายในตำหนักอักษร
เหยียนตี้จุมพิตหว่างคิ้วฉินโยวโยวก่อนเอ่ยว่า “เจ้าเดินออกไปดูตรงนอกประตูสักหน่อยก็ได้ ข้าจะอยู่ในห้อง คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก”
“ไม่ไป ประเดี๋ยวท่านตระเตรียมของแล้วพวกเราไปคฤหาสน์นอกเมืองกัน ท่านค่อยจุดให้ข้าดูคนเดียว” ฉินโยวโยวเบะปากพูด
“ได้” เหยียนตี้จุมพิตริมฝีปากนาง
ถึงยามไฮ่ซึ่งเป็นเวลาจุดดอกไม้ไฟ ก็เป็นเวลาที่งานฉลองปีใหม่ดำเนินมาถึงตอนท้ายแล้วเช่นกัน ขุนนางใหญ่และตัวแทนราษฎรที่มาร่วมงานต่างเตรียมออกจากวังกลับบ้านของตนเอง ส่วนฮ่องเต้หลังส่งไทเฮาเสด็จกลับวังชิ่งชุนเสร็จก็จะรุดมายังตำหนักอักษรเพื่อรอฟ้าสางด้วยกันกับพวกเขา
ขอเพียงผ่านคืนนี้ไปได้โดยปลอดภัย ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ
ฉินโยวโยวกำลังรอฮ่องเต้มาถึงด้วยความร้อนใจ ฉับพลันก็มีเสียงโกลาหลดังมาจากที่ไกลๆ มีเสียงร้องตะโกนสับสนปนเปกันว่า
“มีมือสังหาร!”
“อารักขาองค์ฮ่องเต้และไทเฮา!”
“ไฟไหม้แล้ว!”
และอื่นๆ ที่ทำเอาประสาทฉินโยวโยวเครียดขมึงขึ้นทันที
มาแล้วจริงๆ!
นี่เป็นการพุ่งเป้ามาที่ฮ่องเต้โดยคิดจะฉวยโอกาสยามที่มีคนนอกเข้ามาร่วมงานฉลองปีใหม่จำนวนมาก หรือจะเป็นการส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม* คิดจะหลอกให้พวกเขาออกจากตำหนักอักษร จะได้ลงมือกับเหยียนตี้!
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นทุกที ในสายลมมีเสียงกรีดร้องร่ำไห้ของสตรีดังมาแว่วๆ คล้ายว่ามีคนกำลังร้องเสียงดัง “ไทเฮา!”
ในที่สุดเหยียนตี้ก็นั่งไม่ติดที่แล้ว
ฉินโยวโยวกอดเขาไว้พลางเอ่ยว่า “อย่าไป ตอนนี้ท่านไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้พวกเขาต้องมาห่วงพะวงท่านอีกคน หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ทุกอย่างก็จบกันจริงๆ แล้ว ท่านรั้งอยู่ที่นี่ได้หรือไม่”
เหยียนตี้รู้ว่าที่ฉินโยวโยวพูดเป็นความจริง หากเขาเป็นอะไรไป ฮ่องเต้มีชีวิตเดียวกับเขา ไทเฮาก็มีเพียงพวกเขาเป็นที่พึ่งพิง…
คืนนี้บริเวณตำหนักอักษรนอกจากพวกเขาสองคนกับราชันยุทธ์ห้าคนที่ดักซุ่มอยู่ในที่ลับแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเฉียดกรายมาใกล้ได้ พวกเขานั่งอยู่ภายในตำหนักหลังใหญ่ ย่อมมองไม่เห็นเหตุการณ์ด้านนอก แต่ยังคงได้ยินเสียงเอะอะวุ่นวายดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน
สีหน้าเหยียนตี้ยิ่งนานยิ่งหนักอึ้ง หากเป็นแค่เรื่องเล็กจริงก็ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย นานเพียงนี้แล้วเหตุใดภายนอกยังไม่สงบลงอีก
เขาไม่ห่วงชีวิตของฮ่องเต้ ห่วงก็แต่ไทเฮา หากไทเฮามีอันเป็นไป…
ฉินโยวโยวลังเลชั่วครู่ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าออกไปดูสักหน่อยดีหรือไม่”
“ดีเหมือนกัน แต่เจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าออกไปจากบริเวณรอบตำหนักอักษรนี้เป็นอันขาด” เหยียนตี้ลูบเรือนผมยาวของนางพลางกล่าว เขาเองก็เป็นห่วงว่าจะมีคนของสำนักเฟิ่งเสินดักซุ่มรออยู่ข้างนอกแล้วทำร้ายฉินโยวโยวเข้า
“ไม่ต้องกลัว ข้าพกอาวุธลับไว้ตั้งมาก ล้วนอาบยาพิษทั้งสิ้น ต่อให้เป็นราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดมา ข้าก็สามารถต้านทานได้ชั่วขณะ ท่านรออยู่ในนี้ดีๆ ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรก็อย่าไปที่ใดส่งเดช แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้าด้วย”
เหยียนตี้หลุดขำก่อนเอ่ยว่า “ได้”
ปกติถ้อยคำเหล่านี้ดูเหมือนเขาเป็นฝ่ายพูดกับฉินโยวโยวมากกว่า
ฉินโยวโยวดันตัวเหยียนตี้ให้กลับลงไปนั่งบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย นางจับมือเขาวางบนแกนกลางเปิดปิดกลไก ก่อนจะจูบริมฝีปากเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังผลักเปิดประตูเบาๆ แล้วเดินออกไป
ฉินโยวโยวเดินมาถึงหน้าตำหนักก็ถ่ายทอดเสียงถามขันทีสองคนที่เฝ้าอยู่รอบนอก “ด้านนอกเกิดเรื่องอะไร ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง”
นางอยู่ห่างจากขันทีสองคนนั้นอย่างน้อยเป็นสิบจั้ง ทว่าตบะในยามนี้ของนางสามารถรวมเสียงไม่ให้กระจายหายไปได้อย่างง่ายดาย ขันทีทั้งสองจึงได้ยินคำถามของนางชัดเจนจนเหมือนว่ามีคนพูดอยู่ข้างหูพวกเขา
“ทูลพระชายา เมื่อครู่มีมือสังหารบุกมากลุ่มใหญ่ แต่ถูกโจมตีจนถอยร่นไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาตกพระทัยเล็กน้อย ฝ่าบาทตรัสว่าหากทรงจัดการเรื่องที่ประทับให้ไทเฮาเรียบร้อยแล้วก็จะเสด็จมาทันที” ขันทีก็พอมีตบะอยู่บ้างเช่นกัน คำตอบจึงถูกส่งมาถึงหูอย่างชัดเจน
ฉินโยวโยวได้ยินแล้วก็สบายใจขึ้นไม่น้อย กำลังจะหันหลังกลับเข้าตำหนักอักษรก็มีความรู้สึกอันตรายชนิดหนึ่งจู่โจมในใจ