นางใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ก่อนจะโบกแขนเสื้อยาว ท่ามกลางเงามืดตรงกำแพงตำหนักพลันมีเสียงร้องต่ำในลำคอออกมาหลายที มือสังหารชุดขาวเจ็ดแปดคนที่ซุ่มอยู่กลางพื้นหิมะล้มหงายลงพื้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เวลาเดียวกันนี้เอง เงาดำสายหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตำหนัก ผลุบตัวมาถึงเบื้องหน้าฉินโยวโยวอย่างเงียบเชียบ ในมือของเงาดำถือกระบี่ยาวสีเงินไว้เล่มหนึ่ง ประกายสีเงินแฝงไอหนาวเหน็บเคลื่อนวนท่ามกลางแสงไฟวูบไหว แผ่ไอสังหารเยียบเย็นอันน่าครั่นคร้ามออกมา…
“เหอะๆๆ พระชายาฝีมือยอดเยี่ยมนัก! ทว่าบุรุษของแคว้นเซียงเยวี่ยตายกันไปหมดแล้วหรือ ไฉนถึงต้องลำบากพระชายามายุ่งเกี่ยวกับพวกเราเหล่าบุรุษหยาบช้าด้วย” เสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ กลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งระดับราชันยุทธ์อย่างน้อยสิบคนส่งมาจากทุกทิศทุกทาง
ผู้เฒ่าที่พูดมีผมสีขาวโพลน สวมชุดสีขาวตลอดทั้งร่างเช่นเดียวกัน แทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับหิมะขาว หากเขาไม่ใช่เป็นฝ่ายปรากฏตัวขึ้นเอง ด้วยตบะอย่างน้อยระดับราชันยุทธ์ขั้นสิบสองของเขา เกรงว่าราชองครักษ์ทั่วไปภายในวังคงไม่ต่างจากไก่ดินสุนัขดินเผา* สำหรับเขา ไม่อาจพบเห็นเขาและยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องขัดขวางเขาโดยสิ้นเชิง
ฉินโยวโยวยิ้มเย็นก่อนเอ่ยว่า “เจ้าสำนักของพวกเจ้าเล่า ไฉนถึงไม่มาหาที่ตายด้วย!” นางพูดพลางรีบถอยหลัง คิดจะกลับเข้าไปในตัวตำหนักอักษรก่อนค่อยว่ากัน
บัดนี้ราชันยุทธ์ขั้นสิบสองไม่นับเป็นอะไรในสายตาฉินโยวโยวแล้ว แม้นางจะมีตบะเพียงยอดยุทธ์ขั้นเก้า แต่ก็เหมือนกับที่นางบอกเหยียนตี้ไว้ ตราบที่นางมีอาวุธลับอยู่ในมือ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดก็ยังสามารถต้านทานไว้ได้ชั่วขณะ ราชันยุทธ์ขั้นสิบสองยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่จำเป็นต้องกลัวโดยสิ้นเชิง
เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงสู้ ประการแรกนางต้องแน่ใจในความปลอดภัยของสามีปีศาจก่อน เรื่องอื่นใดค่อยว่ากันทีหลังได้ทั้งนั้น
ราชันยุทธ์ห้าคนในที่ลับสังเกตเห็นว่ามีคนลอบเข้ามาก่อนฉินโยวโยวก้าวหนึ่ง ล้วนแต่เตรียมพร้อมอย่างเงียบเชียบแล้ว รอเพียงคนเหล่านั้นเข้ามาในขอบเขตการโจมตีของกับดักกลไกก็จะเริ่มเปิดการทำงาน
ระหว่างที่ฉินโยวโยวพูด นางก็มาถึงหน้าประตูตำหนักอักษรแล้ว มือสังหารปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ เดิมทีนางควรโล่งใจ รับมือกับศัตรูในที่แจ้งอย่างไรก็ง่ายกว่า ทว่านางกลับรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวกำลังซุ่มรออยู่ในที่ลับ
ชั่วพริบตาที่ประตูถูกผลักเปิดออก ประกายหนาวเหน็บสายหนึ่งก็พุ่งมา ฉินโยวโยวเปิดการทำงานอาวุธลับพร้อมกับฟาดฝ่ามือออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
ฟิ้ว! หลังจากเสียงทอดยาวก็มีเสียงโลหะกระทบกันนับไม่ถ้วนดังตามมา กระบี่ยาวสีเงินเปื้อนเลือดเล่มหนึ่งก็ถูกพลังฝ่ามือของฉินโยวโยวและพลังโจมตีจากอาวุธลับกระแทกไปกลางอากาศ ชั่วขณะที่ป้องกันการโจมตีนี้ เงาดำสายหนึ่งได้วิ่งปราดไปถึงด้านหลังตำหนัก ชนทะลุหน้าต่างกระจกก่อนวิ่งสุดฝีเท้าจากไป
ราชันยุทธ์นิรนามที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักพอพบว่ามีคนพุ่งออกมาจากในตำหนักอักษรกะทันหันก็ล้วนตกใจจนใบหน้าถอดสี พวกเขาทำงานด้วยกันมาหลายปี มีการตอบสนองรวดเร็วอย่างที่สุด ต่างเปิดการทำงานกลไกหมายจะสังหารคนผู้นั้นในทันที
ทว่าเรื่องประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว…ก่อนค่ำ พวกเขาได้ตรวจกลไกดูก็พบว่าทุกอย่างเป็นปกติอยู่แท้ๆ แต่ยามนี้กลับมีส่วนหนึ่งใช้งานไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นกลไกบริเวณเส้นทางที่เงาดำนั้นหลบหนีไปพอดิบพอดี
พวกเขาได้รับคำสั่งให้เฝ้าตำหนักอักษร พอเห็นเงาดำนั้นผลุบหายไปก็ไม่กล้าไล่ตาม ทำได้เพียงส่งสัญญาณแจ้งให้ราชองครักษ์ฝีมือดีคนอื่นในบริเวณใกล้ๆ สกัดเขาเอาไว้
นอกตำหนักอักษรยังมีราชันยุทธ์จากสำนักเฟิ่งเสินอยู่สิบคน รวมถึงยอดฝีมือระดับยอดยุทธ์อีกนับไม่ถ้วนกำลังจ้องตะครุบ แม้เรื่องที่กลไกส่วนหนึ่งใช้งานไม่ได้กะทันหันจะทำให้พวกเขาจิตใจสั่นคลอนอย่างหนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จำต้องพิทักษ์ตำหนักอักษรเอาไว้ก่อน ไม่อาจปล่อยให้โจรหน้าไหนเหยียบย่างถึงบันไดศิลาหน้าตำหนักได้แม้แต่ครึ่งก้าว
เสียงกลไกเปิดการทำงานและเสียงเข่นฆ่าร้องโหยหวนที่ด้านนอกดังมาเป็นระลอก ภายในตำหนักอักษร ฉินโยวโยวรู้สึกว่าทั้งร่างเย็นเฉียบ คล้ายทุกสิ่งอย่างล้วนออกห่างนางไปไกลลิบในชั่วพริบตา
เหยียนตี้ที่เบื้องหน้ายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวก่อนหน้านี้ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนแกนกลางเปิดกลไกเช่นเดิม ทว่าเขาไม่อาจเงยหน้าขึ้นยิ้มให้นางและก็ไม่อาจทำหน้าบึ้งใส่นางได้แล้ว
ศีรษะเขาห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ตัวอาบเลือดไปครึ่งร่าง เลือดสดๆ ยังคงทะลักออกมาจากปากแผลตรงหน้าอกเขาไม่หยุด
กระบี่แทงทะลุหัวใจ!
เลือดที่ติดบนกระบี่เล่มที่นางกระแทกกระเด็นไปนั้นเป็นของเหยียนตี้…