บทที่ 3
“ข้าตัดชุดใหม่ให้เสี่ยวฮุย ท่านดูซิว่าสวยหรือไม่” ฉินโยวโยวกางชุดตัวน้อยสีชมพูตัวนั้นออกให้เหยียนตี้ดู สีหน้าท่าทางภูมิอกภูมิใจจนเหมือนกับว่าได้ทำผลงานยิ่งใหญ่อันเป็นที่ตกตะลึงของคนทั้งใต้หล้าสำเร็จ มิใช่แค่งานเย็บปักถักร้อยที่สตรีส่วนใหญ่ล้วนทำได้
เหยียนตี้รักษาสีหน้าเดิมไว้ไม่อยู่ในทันที “ทั้งตัวมันมีแต่ขน ยังต้องใส่เสื้อผ้าอะไรอีก” เป็นกระต่ายอ้วนที่สมควรตายตัวนั้นอีกแล้ว กระต่ายอัปลักษณ์ที่ช่างตามหลอกหลอนยิ่งนัก!
ผลงานที่ฉินโยวโยวพอใจไม่ได้รับคำชมอย่างที่ควรได้ นางจึงเบะปากพลางแค่นเสียงไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
เหยียนตี้เป่าลมใส่หูนางแล้วเอ่ยว่า “ทว่าเจ้าฝึกมือไว้ก็ดีเหมือนกัน อีกปีสองปีเจ้าคลอดลูกให้ข้าสักหลายคน ทักษะฝีมือนี้ก็จะได้ใช้แล้ว”
เขาพูดพลางใช้มือขวาลูบเบาๆ บนท้องน้อยนาง
เหยียนตี้พลันนึกเสียใจอยู่บ้างแล้ว หากฉินโยวโยวไม่ได้กินผลมุกชาดเหล่านั้นลงไป ไม่แน่เวลานี้ในท้องนางอาจจะมีทายาทของเขาอยู่แล้ว พอมีลูก ข้อผูกมัดระหว่างเขากับนางก็จะยิ่งลึกซึ้ง และเขาเองก็จะสบายใจได้มากขึ้นกว่าเดิม
ฉินโยวโยวใบหน้าแดง นางถลึงตาใส่เขา “ท่านติดเหวยเหนียงมาแล้ว พูดเสียเหมือนข้าเป็นแม่หมู”
“พอพูดถึงหมู ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าในห้องหนังสือของข้ามีหนังสืออยู่สองสามเล่ม กลับไปพวกเรามาศึกษา ‘หมูเดินผ่าน’ สักหน่อยเถิด จากนั้นเจ้าก็ ‘กินเนื้อหมู’ เป็นเพื่อนข้า” เหยียนตี้เอียงศีรษะเม้มติ่งหูนางไว้ก่อนออกแรงจูบ น้ำเสียงเร่าร้อนยิ่งกว่าท่าทีภายนอก
ใบหน้าฉินโยวโยวอดจะแดงเรื่อขึ้นหลายส่วนไม่ได้ เมื่อก่อนนางรู้สึกไปได้อย่างไรว่าเหยียนตี้สามีปีศาจเป็นคนเรียบร้อยซื่อตรง เจ้าคนผู้นี้ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดกล้าทำทั้งนั้น มิหนำซ้ำยังมีความคิดเรื่องใต้สะดืออยู่เต็มท้องด้วย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในอดีตฝึกวิชาจนอัดอั้นเกินไปหรือไม่
พิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการของคนทั้งสองเหลืออีกไม่กี่วันก็จะมาถึง ตามธรรมเนียมแล้วคนทั้งสองไม่ควรจะพักอยู่ด้วยกันอีก ก่อนเหยียนตี้จะย้ายกลับไปเรือนศิลา พอนึกว่ากว่าจะถึงคืนวันงานพิธีเขาไม่อาจ ‘กินเนื้อหมู’ ได้อีก ก็ยิ่งจับฉินโยวโยว ‘กิน’ อย่างไม่ปรานี จนนางร้องขอให้ละเว้นไม่ขาดปาก เขาจึงยอมละเว้นให้อย่างไม่เต็มใจนัก
ในใต้หล้านี้คาดว่าคงมีเจ้าสาวเพียงไม่กี่คนที่มีชีวิตได้ผ่อนคลายกว่าฉินโยวโยว ทุกวันนอกจากไปดูต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยแล้ว ก็มีแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนพัก หลับเต็มอิ่มแล้วก็กิน กินอิ่มแล้วก็เย็บปักทำกลไกเล่น เล่นพอแล้วก็นอนต่อ มีความสุขยิ่งกว่าหมูเสียอีก
เหยียนตี้ถือโอกาสช่วงไม่กี่วันนี้พาจู้อวิ๋นเฟยเข้าไปห้องลับในคลังสมบัติใต้สวน แล้วช่วยมันปิดด่านเลื่อนขั้นเช่นกัน
ที่นั่นมีสมุนไพรวิเศษอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีราชันยุทธ์ขั้นสิบแปดอย่างเหยียนตี้ลงมือชี้แนะอย่างเต็มกำลังด้วยตนเอง การเลื่อนขั้นครั้งนี้ของจู้อวิ๋นเฟยก็สามารถสำเร็จเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าหรือแม้แต่ราชันสัตว์ขั้นสิบได้เช่นกัน
ฉินโยวโยวรู้เรื่องนี้เข้าก็ไม่พ้นอิจฉาระคนรู้สึกผิดต่อเสี่ยวฮุย
หากนางมีตบะร้ายกาจสักหน่อย ด้วยสายเลือดอันเกรียงไกรของเสี่ยวฮุย มันก็ควรได้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งนานแล้ว
ยามที่ความละอายใจของฉินโยวโยวปะทุขึ้นมา นางก็อดจะทำชุดตัวงามให้เสี่ยวฮุยเพิ่มอีกหลายตัวเป็นการชดเชยไม่ได้ เสื้อผ้าของเหยียนตี้นางก็มิได้หลงลืม จะอย่างไรไม่กี่วันนี้เหยียนตี้ก็ต้องปิดด่านกักตัวเป็นเพื่อนจู้อวิ๋นเฟย นางจึงนั่งตัดเย็บอยู่ในเรือนพัก
ด้วยความคล่องแคล่วหัวไวของฉินโยวโยว แม้แต่อาวุธลับที่สลับซับซ้อนอย่างที่สุดยังทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย งานเย็บปักถักร้อยจึงเรียนไปเพียงเล็กน้อยก็ทำเป็นแล้ว เพิ่งทำเป็นไม่ทันไรก็ทำได้เยี่ยมยอด
ก่อนหน้านี้นางก็เคยศึกษางานปักบนชุดที่ร้านผ้าไฉ่ซือทำให้นางเหล่านั้นแล้ว พอให้ตู้เหวยเหนียงเชิญช่างปักผ้านางหนึ่งมาชี้แนะด้วยตนเองเพียงสองสามวัน ฝีมือก็เหนือกว่าช่างปักผ้าจำนวนมากที่ทำงานเย็บปักมาหลายปีไปไกล
วิธีเย็บปักมีซ้ำไปซ้ำมาเพียงไม่กี่อย่าง ไม่ว่าพูดอย่างไรฉินโยวโยวก็เป็นยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดคนหนึ่ง เรื่องมือไวตาไวมิใช่สิ่งที่ช่างปักผ้าธรรมดาทั่วไปจะเลียนแบบกันได้ ความสามารถในการทำความเข้าใจยิ่งต่างกันราวฟ้ากับดิน
ช่างปักผ้าที่เคยชี้แนะฉินโยวโยวผู้นั้นต่อมาภายหลังบังเอิญได้เห็นถุงเหอเปาที่นางปักเข้าก็ตกใจจนดวงตาแทบถลน หลังจากนั้นมาไม่ว่าเจอใครก็จะบอกว่าพระชายาของเซิ่งผิงชินอ๋องต้องเป็นเทพแห่งการเย็บปักจุติมาบนโลกแน่นอน