เหยียนตี้รู้ทุกความเคลื่อนไหวของฉินโยวโยวดีจนแทบเหมือนรู้จักฝ่ามือตนเอง มีหรือที่เขาจะไม่รู้ความลับเล็กๆ ของนาง ทว่าหาได้ยากที่คนรักสบายจะมีน้ำใจเช่นนี้ เขาจึงยินดียิ่งที่จะให้ความร่วมมือแสร้งทำไขสือ รอคอยให้ความประหลาดใจมาถึง
เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความสงบสุข จู้อวิ๋นเฟยสภาวะคงที่ กำลังหลับลึกอยู่ในคลังสมบัติใต้สวนเช่นเดียวกับต้าจุ่ยและเสี่ยวฮุย ตราบที่ยังไม่ถึงวันเลื่อนขั้นอย่างเป็นทางการก็จะไม่ตื่นขึ้นมา
ส่วนพิธีแต่งงานของฉินโยวโยวกับเหยียนตี้ก็มาถึงท่ามกลางการรอคอยของคนทั้งหลายในจวนอ๋อง
ในจวนอ๋องแขวนโคมประดับแถบผ้า ถึงวันงาน เหยียนตี้ก็พาฉินโยวโยวที่แต่งอาภรณ์สวมเครื่องประดับอย่างงดงามอลังการเข้าวังไปรับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ รวมทั้งแสดงความขอบคุณต่อไทเฮา จากนั้นก็จัดพิธีและงานเลี้ยงสมรสภายในวัง
ขุนนางคนสำคัญในราชสำนักและสมาชิกครอบครัวของพวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าวังมาร่วมชมพิธีเช่นกัน ภาพอันครึกครื้นนี้ไม่ด้อยไปกว่างานฉลองปีใหม่สักเท่าไร
ฉินโยวโยวรู้สึกได้ว่าในวังมีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งระดับราชันยุทธ์เพิ่มมาอย่างน้อยเป็นสิบคน จึงอดจะแปลกใจอยู่บ้างไม่ได้ นางถือโอกาสระหว่างทางกลับจวนอ๋องหลังเสร็จงานเลี้ยงสมรสเอ่ยถามขึ้นว่า “ไฉนจู่ๆ ในวังก็มีราชันยุทธ์เพิ่มมามากเพียงนั้น เดิมทีมิใช่มีเพียงเจ็ดคนหรือไร”
ในเมื่อมีราชันยุทธ์จำนวนมากเพียงนี้ ไฉนตอนคืนปีใหม่ถึงไม่มา เวลาที่ต้องการพวกเขาที่สุดกลับไม่ปรากฏตัว วันนี้ไม่มีอะไรถึงกับโผล่ออกมาร่วมวงครึกครื้น ใช้ได้ที่ใดกัน!
เหยียนตี้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าฉินโยวโยวต้องสงสัย จึงบีบปลายจมูกนางพลางตอบ “พวกเขาคือผู้พิทักษ์ของสกุลเหยียนที่เฝ้าพิทักษ์เมืองสำคัญแต่ละแห่งในแคว้นเซียงเยวี่ย อีกหนึ่งเดือนกว่าก็จะรบกับแคว้นตัวลี่แล้ว พวกเขาถึงได้รุดจากแต่ละที่มาฟังคำสั่งเป็นการลับ ปกติพวกเขาจะไม่ออกห่างจากที่ประจำการแม้แต่ครึ่งก้าว”
ฉินโยวโยวมีความรู้เรื่องด้านทหารอย่างจำกัด จึงยอมรับคำอธิบายนี้โดยไม่คิดอะไรมาก
ยามทั้งสองกลับถึงจวนอ๋องเวลาก็ล่วงเข้ายามซวีแล้ว แต่อันที่จริงพิธีแต่งงานยังไม่เสร็จสิ้น ตามธรรมเนียมของแคว้นเซียงเยวี่ย เวลานี้ไม่มีเรื่องของเจ้าสาวแล้ว นางแค่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องหอ รอเจ้าบ่าวกลับมาเข้าหอก็พอ
ในขณะที่เจ้าบ่าวกลับต้องไปกราบไหว้บรรพบุรุษโดยมีบรรดาพี่น้องชายคอยอยู่เป็นเพื่อน หลังจากดื่ม ‘สุราเพิ่มทายาท’ ที่พี่ชายน้องชายทุกคนของตนส่งให้หมดแล้วถึงจะนับว่าเสร็จสิ้นได้
มีพี่น้องมากก็เป็นเรื่องเศร้าอย่างหนึ่ง ดื่มจนเมาหัวราน้ำกระทั่งไม่อาจเข้าหอได้ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ทว่าสำหรับเหยียนตี้แล้ว ต่อให้สุรามากเพียงไร หลังจากดื่มลงไปแล้วก็ไม่ต่างจากน้ำเปล่า
พี่ชายน้องชายของเหยียนตี้ไม่นับว่ามากนัก มีเพียงหกคน มิหนำซ้ำนอกจากฮ่องเต้ที่ไม่กลัวเขาแล้ว แต่ละคนที่เหลือล้วนขนลุกขนพองกับใบหน้าไร้ความรู้สึกของเขาทั้งสิ้น ต่อให้เป็นอี๋ชินอ๋องเหยียนหนานเองก็รู้กาลเทศะ ไม่กล้าก่อกวนเหยียนตี้ในเวลานี้เช่นกัน
ฮ่องเต้พินิจมองใบหน้าของอี๋ชินอ๋องที่ดูยิ้มได้ฝืนใจยิ่งขณะก้าวมาเคารพสุราเพิ่มทายาท ฮ่องเต้กล่าวยิ้มๆ “เมื่อก่อนในใจน้องหกจะต้องตำหนิที่เราลำเอียงช่วยอาตี้ แต่ไม่ยอมจัดการคนที่ลอบทำร้ายเจ้าเป็นแน่…”
อี๋ชินอ๋องตอบกลับอย่างเนื้อยิ้มหนังไม่ยิ้ม “กระหม่อมไหนเลยจะกล้า”
ฮ่องเต้ไม่สนใจเขา ยังคงพูดต่อไปว่า “บัดนี้เจ้าเข้าใจแล้วกระมัง พี่สะใภ้สั่งสอนน้องสามีที่พูดจาจาบจ้วงถือเป็นการกระทำอันสมควร นี่เป็นเรื่องในครอบครัว วันหน้าหากน้องหกได้พบพี่สะใภ้ก็อย่าลืมเกรงใจเสียบ้าง”
อี๋ชินอ๋องแค่นเสียงออกจมูกสองที ก่อนถอยกลับไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ฮ่องเต้รอน้องชายคนสุดท้ายเคารพสุราเสร็จแล้วก็โบกมือกล่าวว่า “ดึกแล้ว น้องๆ ทั้งหลายกลับไปพักผ่อนเถอะ อาตี้เจ้าตามเรามา”