ทุกคนวิ่งมาถึงบนเนินเขากลับพบว่าไม่มีหมาป่าสักตัว เด็กน้อยเห็นว่าตนเองล้อเล่นแกล้งคนได้จำนวนมากถึงเพียงนี้ก็รู้สึกสนุกยิ่ง คนเลี้ยงสัตว์เป็นคนเรียบง่ายจึงไม่ได้ถือสาหาความกับการเล่นสนุกของเขา ด้วยเหตุนี้เวลาเขาเบื่อก็จะตะโกนร้องว่า ‘หมาป่ามา!’ อยู่บนเนินเขา แรกๆ ก็ยังมีคนเป็นกังวล ต่อมาพอทุกคนชินแล้วก็ไม่สนใจเขาอีก
จนกระทั่งวันหนึ่งหมาป่ามาจริงๆ เด็กน้อยกรีดร้องลั่นไล่ฝูงแกะให้หนีเอาชีวิตรอด ทว่าคนเลี้ยงสัตว์ที่อยู่ไกลออกมากลับคิดว่าเขาล้อเล่นอีกแล้ว จึงไม่ได้สนใจเขา ผลคือกว่าทุกคนจะพบเห็นความผิดปกติ ทุกอย่างก็สายไปแล้ว เด็กน้อยกับฝูงแกะของเขาล้วนถูกหมาป่าจับกินไปสิ้น…” ฉินโยวโยวเล่านิทานเรื่องนี้จบอย่างคร่าวๆ ก็ช้อนตามองไปยังเหยียนตี้
“เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่” เหยียนตี้เหมือนจะพอเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง
ล้วนกล่าวกันว่าความคิดสตรียากเข้าใจ วันนี้ข้าได้ประจักษ์จริงๆ แล้ว! ปกติล้วนรู้สึกว่าโยวโยวของข้าเป็นเช่นกระดาษขาว แค่มองนิดเดียวก็เข้าใจ แต่วันนี้กลับพบว่านางคล้ายกับเป็นปริศนา…คาดเดาได้ยากยิ่ง
ฉินโยวโยวโค้งมุมปากเผยรอยยิ้มที่เรียกไม่ได้ว่ายิ้มออกมา “ท่านก็คือเด็กเลี้ยงแกะคนนั้น หลอกข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ความเชื่อใจที่ข้ามีเลือนหายไปสิ้น ถึงตอนนี้ข้าไม่รู้แล้วว่าเมื่อใดสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง เมื่อใดเป็นเรื่องโกหก อยู่ข้างกายท่านข้ารู้สึกทรมานยิ่ง ข้าอดสงสัยเบื้องหลังการกระทำทุกอย่างของท่านไม่ได้ว่าซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่ ข้างหน้าใช่มีหลุมพรางอะไรรอข้าอยู่อีกหรือไม่ ท่านยังคิดจะได้อะไรจากข้าอีกกันแน่ หลังจากข้าถูกท่านหลอกใช้จนหมดประโยชน์แล้ว ท่านใช่จะเปลี่ยนไปอีกครั้ง โยนข้าทิ้งเหมือนรองเท้าขาดๆ หรือไม่!”
ฉินโยวโยวมองหน้าเขาแล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ชีวิตเช่นนี้ ข้าไม่มีปัญญามาบอกให้ตนเองทนอยู่ต่อไปได้ แม้ท่านจะชอบหลอกข้า แต่ข้าไม่อยากหลอกท่าน…รอต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยตื่นแล้ว ท่านก็เขียนหนังสือหย่า จากนั้นข้าจะจากไป”
อะไรเรียกว่าฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ นี่อย่างไรเล่า!
เหยียนตี้คิดไม่ถึงว่าฉินโยวโยวจะตัดสินใจไปจากเขาง่ายดายปานนี้ นางเป็นภรรยาของเขามิใช่หรือ
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน เจ้าเป็นภรรยาของข้า พวกเราเคยสาบานต่อหน้าบรรพบุรุษว่าจะคอยประคับประคองกันตราบชีวิตจะหาไม่ เจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องเด็กเล่นหรือไร!” เหยียนตี้ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดเปลี่ยนกลับไปเป็นท่านอ๋องสีหน้าเย็นชาเฉกเช่นสมัยก่อนแทบจะในทันที โทสะที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงพอจะทำให้คนที่กล้าเนรคุณทั้งหมดตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงออกมา
ทว่าฉินโยวโยวเป็นข้อยกเว้น
นางลุกขึ้นยืนก่อนกล่าวอย่างสงบ “ข้าเองก็เคยบอกแล้วว่าหากท่านวางอุบายหลอกลวงใช้ประโยชน์จากข้าอีก ข้าจะไม่ต้องการท่านแล้ว ท่านก็เห็นเป็นเรื่องล้อเล่นเช่นกันกระมัง”
เหยียนตี้ยื่นมือมากระชากร่างฉินโยวโยวเข้าสู่อ้อมแขนตนเอง บีบคางและบังคับให้นางสบตาเขาตรงๆ ก่อนพูดทีละคำ “ฉินโยวโยว เจ้าเห็นข้าเป็นคนใจดีมีเมตตาไปจริงๆ แล้ว?”
เขาย่อมมิใช่คนใจดีมีเมตตาอะไร ถึงอย่างนั้นฉินโยวโยวเองก็ไม่ได้กลัวหรือนึกเสียใจกับสิ่งที่ตนพูดไปนัก บางคำพูดนางเก็บไว้ในใจก็ได้แต่ทนทรมาน มิสู้พูดออกมาตรงๆ ให้จบไปเลยเสียดีกว่า
ในเมื่อเหยียนตี้ปิดบังเรื่องชาติกำเนิดของบิดานาง ทั้งยังจงใจผูกมิตรกับสกุลจินเป็นพิเศษ คิดว่าคงต้องมีบางเรื่องที่เขาวางแผนจะใช้ประโยชน์จากนางอีก ก่อนเขาจะบรรลุเป้าหมายย่อมไม่มีทางทำอะไรนางแน่นอน
วิชาชิงดวงจิตชักจูงวิญญาณทำให้นางกลายเป็นหุ่นเชิดมีชีวิตที่เชื่อฟังว่าง่ายได้จริงๆ หากแต่วิธีการนี้จะทำให้สติปัญญาเสียหาย วิชากลไกของนางก็จะพลอยถดถอยอย่างหนักเพราะเหตุนี้ด้วย ถ้าเหยียนตี้รู้สึกว่านางยังมีค่าให้ใช้ประโยชน์ เขาก็น่าจะตัดใจทำเช่นนี้กับนางไม่ลง
คิดๆ แล้วก็น่าเศร้าโดยแท้ เมื่อก่อนนางไร้เดียงสาเอาแต่เชื่อมั่นอย่างไม่มีเหตุผลว่าเขาจะไม่ทำร้ายนางจริงๆ บัดนี้แม้แต่ความมั่นใจนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว
เหยียนตี้กอดฉินโยวโยวไว้แน่น เรือนร่างอรชรอ่อนนุ่มในอ้อมแขนไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อก่อน ถึงขั้นว่ากลิ่นหอมหวานอันน่าหลงใหลนั้นก็ยังไม่เปลี่ยน แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่สำคัญได้ต่างไปจากเดิมแล้ว
ร่างกายของทั้งสองแนบสนิทไร้ช่องว่าง ทว่าหัวใจสองดวงที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบนี้กลับคล้ายมีพันขุนเขาหมื่นสายน้ำขวางกั้นอยู่ กลับมาประสานกันไม่ได้อีก
ติดตามตอนต่อไป