ในช่วงเวลาวิกฤต ขณะที่ฝ่ามือของเยี่ยจื่อชิวอยู่ห่างจากโทรทัศน์ไม่ถึงสิบเซนติเมตร โม่เหยาที่ได้ยินเสียงดังก็รีบวิ่งออกมาจากห้องนอนแล้วกดปุ่มเปลี่ยนช่องได้ทันเวลา
ภาพที่ปรากฏบนจอพลันเปลี่ยนไป ผู้คนล้วนหายไปทั้งหมด
เยี่ยจื่อชิวรีบเคลื่อนกำลังภายในเก็บพลังฝ่ามือที่จะฟาดลงไป การฝืนเก็บวรยุทธ์ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย โดยเฉพาะพลังฝ่ามือเมื่อครู่ที่นางใช้กำลังภายในไปถึงแปดส่วน เมื่อเก็บวรยุทธ์พลังจะย้อนกลับมากัดกลืนร่างกายอย่างรุนแรง
เยี่ยจื่อชิวทำเสียงฮึดฮัด นางรู้สึกหวานในลำคอก่อนกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ขณะที่กำลังจะพ่นออกมานางก็ใช้กำลังภายในฝืนบังคับกลืนกลับไป
หลังเช็ดคราบเลือดที่เปื้อนตรงมุมปากเสร็จก็สูดลมหายใจเข้าลึก เยี่ยจื่อชิวที่ใบหน้าซีดเซียวกล่าวอย่างลังเลไม่แน่ใจ
“ชายทรยศใจโหดเหี้ยมผู้นั้นเล่า นางจิ้งจอกเล่า พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใดกัน”
เมื่อโจวเซ่าอี้เห็นโม่เหยาก็ร้องทุกข์ด้วยสีหน้าขมขื่น “โม่เหยา ยัยคนนี้มาจากอวกาศใช่รึเปล่า เธอมาทำลายโลกใช่ไหม”
โม่เหยาเดินเข้ามาประคองโจวเซ่าอี้ไปนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเหลือบมองเยี่ยจื่อชิวที่กำลังยืนตะลึงอยู่หน้าโทรทัศน์พลางเอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้น”
โจวเซ่าอี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนชี้ไปที่เด็กสาวและพูดกับโม่เหยาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“นายว่ามาซิ พระเอกนางเอกในทีวีจะรักกันไม่แยกจากเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ฉันแค่โต้แย้งแทนนางจิ้งจอกที่เธอพูดถึงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคู่ที่สวรรค์ลิขิตไว้ ผลคือเธอก็บ้าคลั่งขึ้นมา ทำร้ายฉันจนเกือบล้มตกลงมาเป็นขันที! ตอนนั้นเธอแค่สะบัดนิ้วเบาๆ เก้าอี้ก็ล้มลง ขนาดอภินิหารดัชนีเธอยังทำเป็น เป็นไปได้ไหมว่าเธอมาจากนอกโลกน่ะ”
“ลำบากนายแล้ว เพื่อนรัก” โม่เหยาตบไหล่ของโจวเซ่าอี้ที่โกรธจัดเบาๆ ด้วยความเห็นใจ จากนั้นก็เดินไปหาเยี่ยจื่อชิวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของโม่เหยาเข้ามาใกล้ เยี่ยจื่อชิวก็จ้องมองหน้าจอโทรทัศน์เขม็ง “ศิษย์พี่ เหตุใดจู่ๆ สองคนนั้นที่เยี่ยจื่อต้องการสั่งสอนถึงกลายเป็นงูไปแล้ว”
โม่เหยาจับจ้องหน้าจอโทรทัศน์ก็เห็นเพียงงูเหลือมตัวใหญ่กำลังแลบลิ้นเลื้อยอยู่ในป่า นกและสัตว์ในบริเวณที่มันเลื้อยผ่านต่างหนีไปอย่างเงียบๆ
ตอนนี้ช่องใหม่กำลังฉายรายการสัตว์โลก…
เยี่ยจื่อชิวไม่ชินกับการใส่เสื้อผ้าของที่นี่เลย โม่เหยาซื้อเสื้อผ้าให้นางสองสามชุด นางเลือกเพียงชุดนอนที่ดูแล้วเข้าตาที่สุดและคุ้นเคยเป็นที่สุด ส่วนเสื้อตัวในยังคงเป็นของตนเอง นางยอมรับเสื้อผ้าประเภท ‘ชุดชั้นในท่อนบน’ ของที่นี่ไม่ค่อยได้จริงๆ
นางไม่ยินดีที่จะสวมใส่สิ่งบางๆ ดูไม่สบายตัวที่เรียกว่า ‘ลางร้าย!’* เป็นอย่างยิ่ง
คนที่นี่แปลกประหลาดเสียเหลือเกิน สวมใส่สิ่งของที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายเช่นนี้ไว้บนตัว อย่าบอกนะว่าพวกเขาหวังจะใช้ความชั่วร้ายควบคุมความชั่วร้ายและปัดเป่าสิ่งอัปมงคลงั้นหรือ ถึงอย่างนั้นสำหรับของที่เป็น ‘ลางร้าย’ แบบนี้ นางกลัวว่าต่อให้หลบหลีกไปก็หลีกไม่พ้น
หากเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ดวงดาวแห่งโชคลาภ’ นางอาจจะกลั้นใจลองสวมใส่ดูเพื่อความเป็นมงคล
เยี่ยจื่อชิวนับนิ้วดู นางอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาแปดวันแล้ว เลียนแบบคำพูดของศิษย์พี่คือเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์กับอีกหนึ่งวัน นั่นก็พูดได้ว่าหนึ่งสัปดาห์กับหนึ่งวัน
เยี่ยจื่อชิวใช้ชีวิตตามปกติในทุกๆ วัน ตอนเช้ายามเหม่าสองเค่อ (ประมาณหกโมง) ตื่นนอนตรงเวลา นั่งสมาธิครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็กินมื้อเช้าด้วยกันกับโม่เหยา หลังจากนั้นโม่เหยาขับรถไปทำงาน นางก็ดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน
หลังจากดูโทรทัศน์มาทั้งวัน เยี่ยจื่อชิวรู้สึกเบื่อหน่าย นางเดินไปยังระเบียงมองผ่านหน้าต่างลงไป เวลานี้โม่เหยาน่าจะกลับมาแล้ว
แม้ว่าสายตาของนางจะดีกว่าคนทั่วไปหลายเท่า แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นผู้คนบนพื้นดินจากชั้นสิบห้าได้ชัดเจน เพียงแต่นางเริ่มคุ้นชินกับการยืนมองลงไปจากระเบียงในเวลานี้ การรอคอยศิษย์พี่กลับมาเป็นเรื่องที่นางจำเป็นต้องทำทุกวัน
“วันนี้คงไม่ทำโอทีหรอกกระมัง” เยี่ยจื่อชิวพูดกับตัวเองพลางก้มมองผู้คนกับรถยนต์บนพื้นดิน
ในช่วงไม่กี่วันมานี้เยี่ยจื่อชิวคุ้นเคยกับคำศัพท์ของที่นี่บ้างแล้ว อย่างเช่นคำว่าทำงานของที่นี่หมายถึงงานในหน้าที่ การเข้างานหมายถึงการออกไปใช้แรงทำงาน
ศิษย์พี่บอกว่าในบ้านมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน เพื่อที่จะเลี้ยงดูคนที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนให้รอด เขาจะต้องออกไปหาเงินให้มากขึ้น ขอเพียงนางอยู่ที่บ้านอย่างว่านอนสอนง่ายไม่ทำลายข้าวของ เขาก็จะหาเงินมามากๆ เพื่อเลี้ยงนางให้อิ่มท้อง