เยี่ยจื่อชิวซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ตระหนักได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับศิษย์พี่ที่จะทำงานหนักเพื่อหาเงินมาจุนเจือเลี้ยงดูครอบครัว และเพื่อทำให้เขารู้สึกวางใจ นางจึงเชื่อฟังมาโดยตลอด สิ่งของที่ไม่เข้าใจใช้ไม่เป็นก็ไม่แตะต้อง พยายามมุมานะที่จะเป็น ‘ภรรยาที่ดี’ ให้ศิษย์พี่พึงพอใจ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง โม่เหยาก็กลับมา
“วันนี้ศิษย์พี่กลับค่อนข้างช้า ทำโอทีอีกหรือเจ้าคะ” เยี่ยจื่อชิวเข้าไปต้อนรับด้วยความยินดี อยู่ตัวคนเดียวทั้งวันค่อนข้างหดหู่ เวลานี้มีคนให้พูดคุยด้วย แน่นอนว่านางต้องดีใจ
“อืม ในบริษัทมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” เมื่อโม่เหยาเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะที่โถงทางเข้าแล้วดวงตาก็กวาดมองทุกสิ่งที่เขาเห็นตามนิสัยปกติและถามอย่างทุกวันว่า “วันนี้ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นใช่ไหม”
“ไม่มีนะเจ้าคะ!” เยี่ยจื่อชิวเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เยี่ยจื่อไม่ได้ทำของเสียหายมานานมากแล้ว ต่อไปก็จะไม่ทำด้วย!”
“เด็กดี” โม่เหยาขยี้ผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบของเด็กสาวเป็นการชมเชย
“ฮี่ๆ” คนที่ได้รับการชมเชยจากศิษย์พี่ก็พลันฝันหวานไปไกล
โม่เหยาเข้าห้องไปเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านใส่สบายแล้วเข้าครัวเปิดตู้เย็นหยิบผักออกมาก่อนจะเอ่ยถามว่า “วันนี้ทั้งวันทำอะไรล่ะ”
“ดูละครทีวี” ตั้งแต่เยี่ยจื่อชิวรู้จักว่าโทรทัศน์เอาไว้ทำอะไรก็หลงใหลในการดูโทรทัศน์มาก นางชอบดูละครย้อนยุคและดูอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ
“ดูละครทีวีทั้งวัน ฉันไม่ได้บอกเหรอว่าให้เธอดูช่องที่เป็นการสอนวิทยาศาสตร์และข่าวให้มากๆ” โม่เหยาชำเลืองมองเด็กสาวอย่างไม่พอใจ
เยี่ยจื่อชิวเบะปากอย่างไร้เดียงสา “ละครทีวีสนุกนี่นา การสอนวิทยาศาสตร์กับข่าวเยี่ยจื่อดูแล้วอยากนอน”
“หึ”
ในขณะที่โม่เหยากำลังล้างผักหั่นผัก เยี่ยจื่อชิวก็มองดูอยู่ตรงประตูครัว พูดคุยกับเขาอย่างไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
คุยกันอยู่สักพักหนึ่งโม่เหยาก็นำผักที่หั่นเสร็จแล้วใส่ในกระทะแล้วเริ่มผัด ดวงตาเยี่ยจื่อชิวกลอกไปมา เอ่ยปากคุยกับเขาเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อกลางวัน
“ศิษย์พี่ ละครทีวีที่เยี่ยจื่อดูวันนี้นางเอกน่าสงสารเหลือเกิน”
หลังพูดจบนางก็กะพริบตาปริบๆ มองโม่เหยาด้วยความคาดหวัง อยากให้เขาเอ่ยถามสักประโยคว่า ‘น่าสงสารอย่างไร’ จากนั้นนางก็จะ ‘โยนอิฐล่อหยก’*
ดีดลูกคิดดังป๊อกแป๊ก ผลลัพธ์คือเขาไม่สนใจนาง…
“ศิษย์พี่ หญิงผู้นั้นน่าสงสารจริงๆ เยี่ยจื่อเห็นใจนางยิ่งนัก”
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยังไม่สนใจ
“ศิษย์พี่ หญิงผู้นั้นไม่เคยทำเรื่องผิดต่อฟ้าดินใดๆ ผลคือทุกคนต่างเยาะเย้ยนาง”
“…”
“ศิษย์พี่ หญิงผู้นั้น…”
โม่เหยาซึ่งถูกเสียงรบกวนสุดจะทานทน ในที่สุดก็เอ่ยถามอย่างหมดความอดทนตามที่ใครบางคนคาดหวัง “เธออยากพูดอะไรกันแน่”
เยี่ยจื่อชิวลอบยิ้ม และรีบหุบยิ้มก่อนแววตาแหลมคมของโม่เหยาจะกวาดมองมา นางกล่าวอย่างจริงจังว่า “เรื่องราวเป็นเช่นนี้ หญิงผู้นั้นตอนเด็กได้หมั้นหมายกับเด็กชายในหมู่บ้านเอาไว้”
ได้ยินคำว่า ‘หมั้นหมาย’ หนังตาของโม่เหยาก็กระตุก ลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลจู่ๆ ก็พรั่งพรูขึ้นในใจ
“ทั้งสองคนเป็นสหายสมัยเด็กและมีใจให้กันเมื่อเติบใหญ่ ตอนฝ่ายชายอายุสิบหกเข้าเมืองหลวงสอบเป็นขุนนาง ก่อนจากไปให้หญิงสาวรอเขาสอบติดแล้วจะกลับมาสู่ขอนางแต่งงานอย่างเป็นหน้าเป็นตา หญิงสาวรับปาก ผลลัพธ์คือรอแล้วรอเล่า ตั้งแต่อายุสิบสี่รอมาตลอดจนอายุสิบแปด คู่หมั้นไม่เคยกลับมาอีกคล้ายสาบสูญไปจากโลกนี้ก็ไม่ปาน ต่อมาคนของครอบครัวฝั่งคู่หมั้นไปยังเมืองหลวงก็หาไม่พบ คนในพื้นที่และเพื่อนบ้านต่างเกลี้ยกล่อมหญิงสาวว่าอย่าได้รอเลย คู่หมั้นของนางเกรงว่าจะพบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด มิเช่นนั้นจะจากไปสี่ปีโดยไม่มีข่าวคราวได้อย่างไร
หญิงสาวไม่ฟัง ยังคงยืนหยัดรอต่อไป ผลคือรอจนกระทั่งอายุสิบเก้าปี หญิงสาวในหมู่บ้านที่อายุเท่ากับนางต่างเป็นมารดามีลูกสองสามคนแล้ว แม้แต่หญิงอ้วนรอยแผลเต็มหน้าที่ขี้เหร่ที่สุดในหมู่บ้านใกล้เคียงก็แต่งงานแล้ว เหลือเพียงนางคนเดียวยังไม่แต่งงาน ตอนแรกคนในหมู่บ้านยังเห็นใจในสิ่งที่นางพบเจอ แต่พอนานวันเข้าทุกคนต่างก็เริ่มหัวเราะเยาะว่านางเป็นหญิงทึนทึกขายไม่ออก เพราะถูกทุกคนเยาะเย้ย ครอบครัวหญิงสาวจึงไม่กล้าเงยหน้าเวลาออกจากบ้าน ส่วนนางไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกจากประตู ด้วยเหตุนี้พี่สะใภ้ น้องชาย น้องสาวจึงมีคำต่อว่าต่อขานไม่น้อย วันทั้งวันในบ้านมีแต่การทะเลาะกันเสียงดังเอะอะ เพราะว่าทุกข์จากความรู้สึกผิด หญิงสาวแทบจะรับผิดชอบงานในบ้านทั้งหมด เหน็ดเหนื่อยทำงานอย่างหนัก ผลคือหญิงสาวหน้าตางดงามที่คนเห็นแล้วชื่นชมก็เหน็ดเหนื่อยจนกลายเป็นหญิงขี้เหร่ใบหน้าเหลืองซูบผอม…”
เยี่ยจื่อชิวสาธยายถึงความน่าสงสารที่หญิงสาวพบเจออย่างทอดถอนใจ หลังจากพูดไปได้สักพัก ในที่สุดก็เล่าละครที่ดูไปเมื่อตอนกลางวันจบ ดวงตาคู่นั้นมองชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าได้ฟังเรื่องที่นางเล่าหรือเปล่าด้วยความคับแค้นใจ เริ่มแสดงอาการทอดถอนใจ