ลู่หย่วนพูดต่อไปว่า “เมื่อห้าปีก่อนข้อกล่าวหาที่ใต้เท้าซย่ายื่นฎีกาฟ้องท่านพ่อคือซ่องสุมไพร่พลชุดเกราะ มีแผนจะก่อกบฏ ท่านพ่อจึงถูกสั่งคุมขังเพราะเหตุนี้ ผู้ที่รับผิดชอบพิจารณาคดีนี้คือเสนาบดีฝ่ายซ้ายหานซู” เขาหยุดไปสักพักค่อยกล่าวต่อว่า “หานซูตรวจค้นจวนสกุลลู่เจอชุดเกราะทหารหนึ่งพันชุด เป็นชุดที่นักรบอาชาพยัคฆ์เผ่นใช้ ท่านพ่อข้าจึงได้รับพระราชโองการให้กระทำอัตวินิบาตกรรม ตอนที่พระราชโองการลงมาถึง เขากำลังรักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนตำบลค่งหม่า”
นางรับฟังอย่างตั้งใจ ขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว หน้าผากทั้งสองแทบจะชนกัน
ลู่หย่วนมองขึ้นมาที่นาง ค่อยพูดต่อว่า “จากนั้นใต้เท้าซย่าก็ถูกพระเก้าพันปียื่นฎีกาฟ้อง หนึ่งในข้อหาก็คือทราบความแต่ไม่รายงาน ปกป้องพรรคพวกกบฏ เจ้าคงจะรู้ใช่หรือไม่ว่าพรรคพวกกบฏผู้นั้นคือใคร”
นางช้อนตามองไปที่เขา ขนตายาวกระพือใต้เทียนแดงราวกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ
“คือข้า” เขาพูดก่อนจะเอนไปข้างหลังเล็กน้อย
ลู่หย่วนหลุบตาลง ชั่วขณะนั้นสีหน้าของเขาอาจเรียกได้ว่า…มีทั้งความอาดูรเวทนา สิ้นหวัง หรือกระทั่งเย้ยหยันตนเอง
“ก่อนใต้เท้าซย่าจะเขียนฎีกายื่นฟ้องแม่ทัพลู่ ข้าเพิ่งได้รับคำสั่งให้โยกย้ายออกจากเมืองหลวงไปป้องกันชายแดนที่โม่ซี ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าชาวหูที่เข้ามาพึ่งพิงราชสำนักต้าลี่ การสื่อสารยังมีอุปสรรค เรื่องที่ท่านพ่อได้รับคำสั่งให้กระทำอัตวินิบาตกรรมที่ตำบลค่งหม่าข้าก็เพิ่งรู้จากตอนที่พูดคุยในยามว่างกับทหารที่ค่าย”
เขามองนางทีหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ผ่านไปไม่กี่วันใต้เท้าซย่าก็ต้องโทษจำคุก แต่ตอนนั้นข้ากลับถูกคนวางยา กว่าจะขยับเคลื่อนไหวได้ท่านพ่อข้าก็กระทำอัตวินิบาตกรรมในบ้านไปแล้ว อีกทั้งในวันเดียวกันไฟก็ไหม้จวนสกุลซย่า”
เขามองดูสีหน้านางแล้วค่อยพูดต่อ “ข้ากลับไปที่เมืองหลวง ซอกซอนไปมาอยู่หลายหนจึงหาตัวผู้บัญชาการราชองครักษ์ที่ย้ายข้าออกจากเมืองหลวงไปในตอนนั้นจนพบ เวลานั้นเขาก็ถูกลากเข้าคุกไปด้วย ถูกพระเก้าพันปีลงทัณฑ์ทรมานเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย เขาบอกข้าว่าคนที่ลอบสั่งให้โยกย้ายข้าออกไปจากเมืองหลวงก็คือเสนาบดีฝ่ายขวา ซย่าเยี่ยน
เขาบอกข้าว่าเสนาบดีฝ่ายขวารู้อยู่แล้วว่าข้าจะต้องกลับเมืองหลวงมา อีกทั้งยังฝากฝังข้า ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับสกุลซย่า ข้าต้องตามหาเจ้าให้พบ”
ซย่าชิงยวนยกสองมือปิดหน้า ก่อนจะก้มลงร้องไห้โดยไร้เสียง
ลู่หย่วนเล่าจบแล้วก็ระบายลมหายใจยาวเหยียดพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
ทั้งสองต่างนิ่งเงียบไปเป็นนาน
“ถ้าเช่นนี้ เรื่องราวในปีนั้น บางทีอาจจะมีความลับซ่อนเร้นอยู่ก็เป็นได้” นางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาลวกๆ “แล้วคนอื่นในสกุลลู่เล่า พวกเขา…ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“ดูท่าเจ้าจะลืมทุกอย่างเสียสนิทแล้วจริงๆ” ลู่หย่วนยิ้ม เขาหมุนจอกสุราหนึ่งรอบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ที่ผ่านมาท่านพ่ออยู่ตัวคนเดียว ทั่วทั้งจวนสกุลลู่ ผู้ที่ถือเป็นครอบครัวของเขามีเพียงข้าผู้เดียว”
นางฝืนยิ้มขึ้นมาอย่างเหมือนจะโล่งใจ เห็นจอกสุราข้างมือเขาว่างเปล่าก็รินสุราให้จอกหนึ่ง
“แต่ว่าลูกศิษย์และผู้ติดตามของสกุลซย่ากับสกุลลู่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้อง มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกคุมขังไต่สวน ไม่ก็เนรเทศ” สีหน้าเขาหนักอึ้ง แต่รับสุราจากนางไปอย่างเป็นธรรมชาติ
สีหน้านางเศร้าหมอง นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้และเอ่ยถามอย่างสงสัย “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ตอนนั้นบิดาข้าแค่ให้ใต้เท้าตามหาข้า ไม่ได้ให้ท่านสู่ขอข้า”
ลู่หย่วนชะงักไป เขาสำลักสุราที่ดื่มไปครึ่งหนึ่ง ไอจนหน้าแดงก่ำ ครู่ใหญ่ถึงค่อยเอ่ยว่า “นะ…นี่เป็นแผนการเฉพาะหน้าเพื่อให้ง่ายต่อการปกป้องเจ้าจากเงื้อมมือของสายของคนแซ่หานในเจียงตู”
เขากระแอมให้คอโล่งและกล่าวต่อ “พวกเขากริ่งเกรงข้าที่ได้รับตำแหน่งใหญ่โต ไม่มีทางผลีผลามแตะต้องเจ้า”
“ข้าเข้าใจแล้ว ที่ใต้เท้าลู่สู่ขอข้าเป็นเพียงแผนเฉพาะหน้า” นางจ้องตาเขาเขม็งเพื่อขอคำยืนยัน
เขารีบร้อนหลบสายตานาง นิ่งไปครู่หนึ่งค่อยพยักหน้าและเอ่ยตอบรับ
ทว่าหลังพูดออกไปแล้ว ดวงตาเขาก็หม่นลงไปมาก ก้มดื่มสุราในจอกรวดเดียวจนหมด