ทว่าในเวลานี้เองหยางหวั่นก็พลันเปิดปากขึ้น
“ยังหนาวหรือไม่ ข้างนอกมีถ่านกองอยู่มาก หรือไม่ข้าจะไปหอบเข้ามาเพิ่มอีกหน่อย”
มือของนางยื่นไปที่หน้ากองไฟ ผิวพรรณเนียนละเอียดชวนมองยิ่ง เส้นผมของนางถูกเปลวไฟขับเน้นทำให้เห็นความยุ่งเหยิงชัดเจน แผ่สยายอยู่บนหัวไหล่อย่างไม่เป็นทรง ผิวพรรณที่เปลือยเปล่าตรงไหล่หลังขาวหมดจดไร้จุดด่างพร้อย เมื่อได้เห็นผิวพรรณของสตรีในเวลานี้ เติ้งอิงพลันรู้สึกว่าการสัมผัสมือผู้อื่นที่เขาปรารถนาก่อนจะถูกลงทัณฑ์ ในเวลานี้พอคิดขึ้นมาแล้วดูเลวทรามต่ำช้ายิ่ง
“ออกไป”
เติ้งอิงได้แต่เอ่ยคำนี้ออกมา ทว่าเขาเคร่งครัดในสิ่งที่ตนถูกอบรมปลูกฝังมาอย่างยิ่ง แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่น่าอับอายและเคียดแค้น น้ำเสียงของเขาก็ไม่แข็งกระด้างเย็นชา ทั้งยังไม่นับว่าห่างเหิน เพียงคิดจะแยกสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กับสภาพที่น่าอเนจอนาถของตนเองออกจากกันอย่างเร่งด่วนเท่านั้น
หยางหวั่นไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นยันปลายคาง มองเงาที่พื้น ยิ้มพลางเอ่ย…
“อย่าไล่ข้าไปเลย เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะไม่มาหาท่านในช่วงเวลานี้ แต่เมื่อครู่ข้าอดใจไม่ไหวจึงเข้ามาดูสักครา ท่าน…” นางอยากบอกว่าเติ้งอิงน่าเวทนาเกินไปแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าการแสดงความเห็นอกเห็นใจในเวลานี้เท่ากับสบประมาทเขา จึงกระแอมกระไอกลบเกลื่อน “ข้ารู้สึกหนาวมาก เห็นท่านมีเตาถ่านจึงเข้ามาผิงไฟ”
“…”
พื้นกระดานเตียงส่งเสียงดังขึ้นคราหนึ่ง ฝ่ามือของเติ้งอิงยันไม่อยู่จึงไถลลงไปที่พื้น มือแตะถูกแผ่นหลังของหยางหวั่น
หยางหวั่นมองไปที่ด้านข้างคราหนึ่ง ไม่ได้หันหน้ามา เพียงยื่นมือมากุมข้อมือของเขาแล้วดันร่างเขากลับขึ้นไป
“ท่านอย่ายันกายขึ้นมาเช่นนี้ ตอนนี้ท่านไม่ใช่นักโทษของกรมอาญาแล้ว ประตูไม่ได้ใส่กุญแจ พวกเขาเพียงแต่ไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับท่าน”
เติ้งอิงกดข้อมือที่ถูกนางจับไว้ เอียงหน้ามองไปที่แผ่นหลังของหยางหวั่น
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เขาถามนางอย่างอ่อนแรง
หยางหวั่นยิ้มๆ “รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสอง สกุลเติ้งมีความผิด เข้ามายุ่งเกี่ยวกับท่านก็ต้องไปพบองครักษ์เสื้อแพร แม้แต่หยางหลุนยังรู้จักหลีกเลี่ยง ใครจะไม่รู้จักหลบบ้างเล่า”
คำพูดนี้พูดได้ชัดเจนกว่าใครหลายคนเสียอีก
“แล้ว…เจ้าไม่กลัวหรือ”
“ข้าหรือ”
นางพูดพลางยิ้ม ยื่นมือไปนวดหัวไหล่ จากนั้นก็เขี่ยถ่านที่ข้างเท้าต่อ บางครั้งก็สูดจมูก ไหล่หลังก็พลอยยกขึ้นตามไปด้วย ท่าทางพูดไม่ได้ว่างดงามชวนมอง ทว่าเป็นธรรมชาติเสียจนทำให้คนเกือบลืมไปแล้วว่านางนั่งอยู่ในห้องลงทัณฑ์ของขันที
“อย่าคิดมาก”
นางกล่าวเช่นนี้ ฟังแล้วคล้ายไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรมากนัก แต่เติ้งอิงกลับอยากได้ยินอีกสักครั้ง
“เจ้าพูดอะไรนะ” เขาจงใจถามซ้ำ
“ข้าบอกว่าอย่าคิดมาก แม้กำแพงล้มฝูงชนร่วมผลัก ต้นไม้ล้มลิงค่างแตกกระเจิง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะฉวยโอกาสตอนท่านล้มเหยียบย่ำท่าน แต่เพราะเป็นท่านข้าถึงลงมือไม่ลง”
หยางหวั่นรู้ว่าเติ้งอิงไม่อาจฟังเข้าใจทั้งหมด พอพูดจบก็ยิ้ม นางเป็นห่วงอารมณ์ความรู้สึกของคนที่อยู่ด้านหลังจึงข่มกลั้นไว้ไม่ได้หัวเราะออกมา แต่ทั่วทั้งร่างดูผ่อนคลายลง นางโยนเหล็กเขี่ยถ่านในมือทิ้ง สะบัดขาทั้งสองข้างเบาๆ ยื่นมือไปผิงไฟต่อพลางถามเขาไปเรื่อยเปื่อย
“ผ้าเช็ดหน้ายังเย็นอยู่หรือไม่”
คนที่อยู่ด้านหลังไม่ส่งเสียงแล้ว
หยางหวั่นอับจนปัญญายิ่ง กำลังจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้า เขาพลันเปิดปากขึ้นก่อนแล้ว
“ยังเย็นอยู่”
“อ้อ”
พอเติ้งอิงเปิดปาก นางก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงกอดขาตนเองไว้ “เช่นนั้นท่านก็นอนสักตื่น ข้าผิงไฟอีกสักพักก็จะออกไปแล้ว”
ห้องไม่ใหญ่นัก เปลวไฟจากถ่านส่องสว่างจนทั้งห้องมีสีเหลืองอบอุ่น ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้พูดจา คนหนึ่งตั้งใจรักษาระยะห่างระหว่างร่างกาย อีกคนก็พยายามรักษาระยะห่างระหว่างจิตใจ แต่เพราะต่างคนต่างไม่มีเจตนาร้ายอะไร ดังนั้นบรรยากาศจึงไม่อึดอัด หยางหวั่นอารมณ์ดีถึงขั้นพึมพำเพลง ‘ซันหูไห่’ ของโจวเจี๋ยหลุนออกมาท่อนหนึ่ง