บทที่ 1.6 นกกระเรียนบาดเจ็บกับดอกฝูหรง
ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ผลาญชีวิตในวัยสาวของนางไปสิบปี เปรียบเทียบกับคนรักแล้วยังสำคัญยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
แน่นอน เวลานี้นางไม่อาจพูดออกมาตามตรงเช่นนั้นได้ แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจตอบอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจสักหน่อย ความสำเร็จในการเดินทางข้ามกาลเวลาเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้เฝ้ารอคอย และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างนางกับเติ้งอิง
“ข้าก็ไม่รู้จะพูดกับท่านอย่างไร ท่านก็คิดเสียว่าข้ามีชีวิตอยู่เพื่อท่านก็แล้วกัน…” พอพูดจบก็เงยหน้ามองหยดน้ำที่เกาะตัวอยู่บนขื่อ “ท่านอยากจะนอนสักครู่หรือไม่ ถ้าไม่อยากนอนข้าก็จะอยู่พูดคุยกับท่าน”
“ข้าไม่อยากนอน”
คำตอบนี้ของเขาทำให้หยางหวั่นเบิกบานใจอย่างยิ่ง
หยางหวั่นกระแอมกระไอให้คอโล่ง “เอาล่ะ เช่นนั้นท่านฟังให้ดี ข้า…เมื่อก่อนก็มีชีวิตอยู่เพื่อท่าน บิดามารดาของข้าพูดอยู่เสมอว่าข้าถึงวัยที่ควรออกเรือนแล้ว วันๆ ไม่ควรเอาแต่คิดเรื่องของท่าน เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะรู้ว่าข้าเป็นใครและเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะอยู่กับข้าไปตลอดชีวิต บิดามารดาของข้าแนะนำบุรุษผู้หนึ่งให้ข้ารู้จัก ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติประจำตัวหรือรูปโฉมล้วนไม่เลว แต่ข้าไม่ยินดี” นางพูดมาถึงตรงนี้ก็ทัดผมไว้ที่ข้างหูเบาๆ “ปีที่แล้วในวันคล้ายวันเกิดของข้าคืนนั้น ข้าอ่านงานที่ท่านเขียนตอนอายุสิบเจ็ดสิบแปด ‘จดหมายถึงจื่อซีช่วงท้ายปีกุ่ยโฉ่ว’ อย่างไรเล่า ท่านยังจำได้กระมัง เป็นจดหมายที่ท่านเขียนให้หยางหลุนฉบับนั้น จริงด้วย จดหมายฉบับนั้นท่านเขียนตอนอายุเท่าไรกันแน่”
“เขียนตอนรัชศกเจินหนิงปีที่สี่ อายุสิบหกปี”
“อืม ข้าอ่านมาไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ ในนั้นท่านเขียนไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘ตั้งปณิธานด้วยหัวใจของความเป็นปราชญ์ ชั่วชีวิตไม่เปลี่ยนแปลง ส่งให้จื่อซีเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน’ ข้าชอบเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่อ่านข้าก็จะมั่นใจว่าข้อคิดเห็นแรกสุดที่ข้ามีต่อท่านไม่ผิด ถ้าให้ข้าทอดทิ้งท่าน ข้าก็จะรู้สึกว่าเวลาสิบปีก่อนหน้านี้ของข้าก็จะไม่มีความหมายใดๆ ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรข้าก็ไม่สนใจทั้งสิ้น”
การบอกเล่าถึงความตั้งใจแรกเริ่มทางวิชาการแก่ผู้เป็นหัวข้อในการทำวิจัยของตน นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่มีดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาประวัติศาสตร์คนใดสามารถทำได้ หยางหวั่นยิ่งพูดก็ยิ่งมีท่าทีจริงจัง จมอยู่ในความปรารถนาที่จะบอกเล่าอย่างบริสุทธิ์
ทว่าสิ่งที่เติ้งอิงเข้าใจกลับเป็นความหมายที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นั่นเป็นความรักอย่างที่เขาไม่อาจแบกรับได้ในเวลานี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่โหดร้ายในคำพูดเหล่านี้ ประหนึ่งมีดเผาไฟที่เชือดเฉือนเนื้อหนังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วข้างกายก็ไม่มีของสิ่งใดที่มีความอบอุ่นเช่นนี้อีก
“ดังนั้น…เจ้าจึงไม่ยินดีจะแต่งให้จางลั่วหรือ”
“จางลั่ว” ชื่อนี้หยางหวั่นคุ้นเคยยิ่ง “จางลั่ว ผู้กำกับการกองเจิ้นฝู่เหนือหรือ ข้า…”
นางยังพูดไม่ทันจบเสียงดังกังวานก็พลันทะลุช่องกระดาษที่เติ้งอิงเลิกขึ้นเข้ามา หยางหวั่นยกมือขึ้นปิดหูทันที
เสียงของหลี่ซั่นดังขึ้นมาจากด้านนอก “ใต้เท้าหยาง มีที่แห่งนี้ที่ยังไม่ได้หาดู”
หยางหลุนยืนอยู่บนพื้นหิมะ มองห้องลงทัณฑ์ที่อยู่เบื้องหน้า ส่วนลึกในใจมีความหนาวเหน็บผุดขึ้นมา
ผู้ที่เคยเป็นสหายสนิทของเขาก็อยู่ข้างใน ถ้าหยางหวั่นไม่ได้อยู่ข้างใน เขาก็คงไม่มายืนอยู่ที่นี่
หยางหลุนไม่ได้ตอบหลี่ซั่น เงยหน้าขึ้นร้องเรียกเสียงดังไปทางประตู “หยางหวั่น!”
หยางหวั่นถูกเสียงนี้เรียกก็ลุกพรวดขึ้นมา นางเคยบอกชื่อของตนกับเติ้งอิงเท่านั้น เหตุใดคนที่อยู่ข้างนอกผู้นี้ถึงรู้ได้
“หยางหวั่น ฟังให้ดี เจ้าต้องเดินออกมาเอง ถ้าให้ข้าเข้าไปพาเจ้าออกมา ข้าจะตีขาเจ้าให้หัก!”
ครานี้หยางหวั่นสับสนว้าวุ่นอย่างถึงที่สุดแล้ว รู้ชื่อนางก็รู้ไปเถิด แต่อยู่ดีๆ เหตุใดจะตีขานางให้หักด้วย