“หวั่นหวั่น”
“ข้าอยู่นี่”
“อยู่กับเจ้าข้ารู้สึกว่าตนเองมีความผิด แต่เจ้าไม่เคยลงโทษข้ามาก่อน ดังนั้นหวั่นหวั่น ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็สามารถทำอะไรกับข้าได้ทุกอย่าง แต่เจ้าได้โปรดอย่าเรียกร้องความเป็นธรรมให้ข้าและไม่ต้องคิดอะไรเพื่อข้า”
เขาพูดพลางขยับตัวให้ต่ำลงเล็กน้อย วางศีรษะตนไว้ตรงปลายคางของหยางหวั่น
“ข้าไม่มีครอบครัวแล้วก็ไม่กล้ามีครอบครัว หวั่นหวั่น เจ้าสามารถพาข้าไปได้ตลอดเวลาและสามารถเรียกข้ากลับไปได้ตลอดเวลา”
เขายังคงเหมือนเมื่อก่อน ปรารถนาจะได้รับการสัมผัสแตะต้อง แต่กลับไม่รักร่างกายของตนเอง
หยางหวั่นฟังคำพูดของเติ้งอิง มือก็ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปที่เอวของเขา
เสื้อตัวกลางบนร่างเขาก็ทำจากผ้าแพร เพราะซักจนเก่า ตอนฝ่ามือสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความสากของเนื้อผ้า
“ขยับตัวเข้ามาอีกหน่อย” หยางหวั่นกล่าวเสียงเบา
เติ้งอิงแผ่นหลังแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อน
นิ้วมือของหยางหวั่นอยู่บนเอวของเขา พยายามออกแรงที่ข้อศอกขยับตัวเข้าไปใกล้เติ้งอิงอีกหลายชุ่น
“ข้าต่างหากที่เป็นคนไม่มีครอบครัว” นางพูดจบก็ค่อยๆ ขดตัวซุกเข้าไปในอ้อมอกของเติ้งอิง
แม้ฝนที่หนาวเหน็บช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงจะไร้ความปรานี แต่เรือนพักหลังเก่าแห่งนี้ยังคงปิดกั้นให้อยู่
ในห้องม่านมุ้งปล่อยลงมา ผ้าห่มบนเตียงหลังม่านมุ้งส่งกลิ่นหอมของเจ่าโต้ว* กำจายออกมาจางๆ
หลังจากหยางหวั่นหลับสนิทก็งอขาทั้งสองขึ้นโดยไม่รู้ตัว หัวเข่าอิงอยู่ใต้ท้องเติ้งอิงเบาๆ ถ้าขยับต่ำลงไปอีกสักนิดก็เป็นจุดที่ทำให้เติ้งอิงยากจะเอ่ยปาก
ตอนเขาถูกลงทัณฑ์เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ตามกฎระเบียบของราชวงศ์หมิง ยามราชสำนักฝ่ายในตอนบุรุษที่เป็นผู้ใหญ่ เพื่อลดการเสียชีวิตของขันทีจึงสามารถเหลือแก่นกายบางส่วนไว้ได้
ทว่าตอนเติ้งอิงถูกลงทัณฑ์ เขาเป็นนักโทษคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ราชสำนักฝ่ายในจึงไม่ได้มอบความเมตตานี้ให้แก่เขา
จนถึงวันนี้เติ้งอิงยังคงจำได้ หลังจากบาดแผลหายดีแล้วกรมพิธีการมารับคนไป เขากับขันทีคนอื่นๆ ต้องเข้ารับการตรวจสอบร่างกายก่อนเข้าวังจากกรมพิธีการด้วยกัน
ผู้ตรวจสอบร่างกายแสดงความเห็นต่อบาดแผลของขันทีทุกคนที่อยู่ในที่นั้นอย่างเฉยเมย
‘เขาลงมีดน้อยไปครึ่งชุ่น ท่านมาดูสักคราว่าต่อไปกระดูกอ่อนข้างในจะนูนออกมาหรือไม่’
‘พูดยาก’ พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองสมุดรายชื่อคราหนึ่งแล้วบอกว่า ‘อ้อ เขาอายุไม่น้อยแล้ว คนลงมีดกลัวต้องรับผิดชอบชีวิตคน ลงมีดเช่นนี้ก็มีอยู่บ้าง’
‘จุ๊ๆ…นี่จัดการยากแล้ว’
‘ว่าอย่างไร ยังจะให้เขาไปปาด ‘ตอ’ อีกครั้งหรือ’
คำพูดเหล่านี้พวกเขาพูดให้เติ้งอิงฟัง แต่เขาไม่อยากฟัง ทว่าไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ได้แต่พยายามปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอยไป
ในตอนนั้นเจิ้งเยวี่ยจยาเป็นคนที่สำนักกิจการฝ่ายในส่งมาจับตาดูกรมพิธีการทำงาน เดิมทีเจิ้งเยวี่ยจยาไม่ได้เข้ามา แต่พอได้ยินข้างในสนทนากันจึงมองเติ้งอิงอยู่ที่หน้าประตูคราหนึ่ง เห็นเติ้งอิงกำมือก้มหน้า จึงส่งเสียงถามขึ้น
‘ข้างในตรวจสอบเสร็จหรือยัง’
‘อ้อ เกือบเสร็จแล้ว แต่คนผู้นี้ยังต้องให้ท่านมาดูหน่อย เราตัดสินใจไม่ได้’ คนผู้นั้นพูดพลางมองสมุดบัญชีในมือคราหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเรียกชื่อเติ้งอิงออกมา ‘เติ้งอิง’
‘ขอรับ’
คนผู้นั้นชี้ไปยังจุดที่เจิ้งเยวี่ยจยายืนอยู่ ‘เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย ให้ท่านบรรพชนของสำนักกิจการฝ่ายในตรวจดูคราหนึ่ง’
เติ้งอิงหันกายมองไปที่เจิ้งเยวี่ยจยา เจิ้งเยวี่ยจยากลับไม่ได้มองเติ้งอิง